รีเซต

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น
2 ธันวาคม 2568 ( 09:48 )

#ทันหุ้น – บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติในระยะสั้น หลังจากที่เปิดสถานะ Long Index Futures อย่างหนาแน่น รวมถึงทิศทางค่าเงินบาทที่ทรงตัวในทางแข็งค่า โดยหากผ่านกรอบแนวต้าน 1,275-1,280 จุด จะทำให้ภาพทางเทคนิคเป็นบวกและเปิด Upside เข้าหาระดับ 1,300-1,320 จุด

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ISM ภาคการผลิตสหรัฐฯเดือน พ.ย. ออกมา 48.2 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดและชะลอจากเดือนก่อนหน้า ส่วนตัวเลขภาคบริการจะประกาศคืนวันพุธ ซึ่งภาพรวมตลาดยังคงประเมินโอกาสค่อนข้างแน่ที่ Fed จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า

ส่วนปัจจัยในประเทศจะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ย. ในวันพฤหัสฯ ขณะที่ปัจจัยการเมืองติดตามมาตรการเยียวยาน้ำท่วมภาคใต้ ส่วนประเด็นโอกาสการยุบสภา 12 ธ.ค. ล่าสุดเริ่มผ่อนคลายหลังท่าทีพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มจะยังไม่ยื่นซักฟักรัฐบาล ภาพรวมเรามองว่าด้วย Valuation ของ SET Index ที่ไม่แพง (2026PER 13.8 เท่า) ปัจจัยถ่วงระยะสั้นทีผ่อนคลายลง คาดหนุนดัชนี Rebound ได้ในระยะสั้นหลังจากปรับฐานลงในเดือนก่อน

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q25-1H26 ที่ยังแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : BDMS, BTG, CBG, MAGURO, WHAUP
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, BTG, CBG, CENTEL, CPALL, KTB, MTC, WHAUP

หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70 บาท
• เราคาดโมเมนตัมกำไร 4Q25 จะยังแข็งแกร่งทั้งจาก 7-11 ที่ทำได้ดีต่อเนื่องโดยเฉพาะฝั่ง Margin ขณะที่ผลประกอบการของ CPAXT มีลุ้นฟื้นตัวจากผลบวกของมาตรการคนละครึ่งพลัส
• ขณะที่ภาพปี 2026 ยังสดใส เราคาดการบริโภคในช่วงต้นปีจะคึกคักมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงหาเสียงเลือกตั้งซึ่งจะช่วยหนุน SSSG เราคาดกำไรปี 2026 +9% y-y ที่ 3.1 หมื่นลบ. ราคาหุ้นเทรด PER ต่ำเพียง 12.8 เท่า
• แนวรับ 43//42 บาท แนวต้าน 44.50-45//46 บาท

บล.ดาโอ ระบุ SET วานนี้ มีแรงซื้อกลับในหุ้นทั้งตัวหลักและตัวรองของตลาด หลังเงินบาทแข็งค่า (31.95 บาท/ดอลล่าร์) และดัชนีฯ ลงมาใกล้ระดับ 1250 จุด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ดีของตลาด อย่างไรก็ตาม เรามองตลาดแค่เป็นการ rebound และยังต้องติดตาม ตัวแปรสำคัญคือ ทิศทางการเมืองไทยเอง และแผนสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ปัจจัยในประเทศ

  • ผลกระทบจากน้ำท่วม: ธปท. ประเมินว่าผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่-สงขลา จะกระทบต่อ GDP จำกัดที่ 0.1%-0.2% รัฐบาลเร่งฟื้นฟู คาดกลับสู่สภาวะปกติใน 1 เดือน …. จากสถานการณ์นี้รัฐบาลชุดนี้กำลังเผชิญหกับปัญหาความเชื่อมั่น ซึ่งจะมีลต่อการเลือกตั้งในครั้งหน้า
  • การปรับลดค่าไฟฟ้า: กกพ. มีมติปรับลดค่า Ft งวดใหม่ (ม.ค.-เม.ย. 69) เหลือ 3.88 บาท/หน่วย จากปัจจุบันที่ 3.94 บาท/หน่วย เพื่อช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน โดยอิงจากการประมารณการว่าราคาก๊าซ LNG อาจลดลงในอนาคต
  • ค่าของเงินบาท: สถานการณ์เงินบาทแข็งค่ากว่า 1% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจัยหลักมาจาก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการคาดการณ์นโยบายของเฟด และแรงกดดันจากผู้ค้าทองคำ ล่าสุด ธปท. เสนอขยายวงเงินรายได้จากต่างประเทศ ไม่ต้องนำกลับเข้าไทยเป็น 10 ล้านดอลลาร์/ครั้ง (1 ล้านดอลลาร์/ครั้ง) และกำชับสถาบันการเงินให้เข้มงวดการทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวกับทองคำ
  • Fund Flow/เงินบาท: นักลงทุนต่างชาติในวันที่ 1 ธ.ค. มีการ ซื้อสุทธิ ในตลาดหุ้นไทยรวม (SET+MAI) เป็นมูลค่า 1,238.15 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 1,559 ล้านบาท

ปัจจัยต่างประเทศ

  • สัญญาณ BOJ ขึ้นดอกเบี้ย: ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงโอกาสในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 18-19 ธ.ค. นี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ถ่วงความเชื่อมั่นในตลาดโลก
  • ตลาด(สหรัฐฯ) กังวล Supply หุ้นกู้เอกชนเพิ่มขึ้น : ตลาดเผชิญกับแรงกดดันด้านอุปทานจากการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนจำนวนมาก คาดสัปดาห์เดียวสูงถึง $2 หมื่นล้านบาท และปีนี้รวมกัน ราว $1.55 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสภาวะทางการเงินยังคงเอื้ออำนวย … ความกังวลนี้ เรามองว่า ทำให้นักลงทุนกังวลในเรื่องสภาพคล่องของภาคธุรกิจ และกระทบไปถึง Bond Yield เมื่อวานนี้ด้วย (Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ปิดคืนนี้ที่ 4.08%)
  • วิกฤตคริปโทฯ: ราคาบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ปรับตัวลงอย่างหนัก โดยบิตคอยน์ร่วงลงถึง 5%-6% ต่ำกว่า $87,000 แรงกดดันหลักมาจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ออกคำเตือนเกี่ยวกับกิจกรรมการเก็งกำไรสกุลเงินเสมือนจริงอีกครั้ง และการลดอันดับความเสถียรของ USDT
  • เศรษฐกิจจีน: รัฐบาลจีนสั่งระงับการเผยแพร่ข้อมูลยอดขายบ้านรายเดือนของเอกชน ซ้ำเติมวิกฤตความเชื่อมั่นภาคอสังหาฯ ให้แย่ลง ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์จริงอาจเลวร้ายกว่าที่คิดหลัง Vanke ขอเลื่อนจ่ายหนี้ … ข่าวนี้เป็นปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นจีน และหุ้นกลุ่มอสังหาฯ เนื่องจากให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ไม่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

Technical : BCH, KAMART

ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,265 – 1,270 แนวต้าน 1,285 – 1,290 คาดดัชนีได้แรงหนุนจากคาดเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย และ ม.ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังภัยน้ำท่วม แนะนำทยอยซื้อ HMPRO,DOHOME,GLOBAL ได้ประโยชน์จากการซ่อมแซม/ AOT,CENTEL,MINT,ERW ได้แรงหนุนจาก ม.ฟื้นฟูภาคท่องเทียว/ STA,NER จากราคายางพาราที่ปรับตัวขึ้นจากภัยน้ำท่วม/ PTT,PTTEP จากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น & จ่ายปันผลระดับสูง

SYNEX* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 14.20 บาท) คาดกำไร 4Q68 โตทั้ง YoY และ QoQ หนุนโดยยอดขาย Apple, smartphone (iPhone 17 รับรู้เต็มไตรมาส) และ wearable products รวมถึงรายได้ Enterprise (AWS Cloud) และ Gaming & Gadget (Nintendo Switch2) ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดี คาด Gross Margin จะดีขึ้นจากยอดขาย iPhone ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายจะมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตาม policy rate consensus คาดกำไรปี 68 ที่ 709 ลบ. +3%YoY และปี 69 ที่ 778 ลบ. +10% YoY dividend ดีที่ 5%

BEM* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 8.90บาท) คาดกำไร 4Q68 เติบโต YoY จากการสัญจรด้วย MRT ที่เพิ่มขึ้นในฤดูท่องเที่ยวการเปิด Dusit Central Park และมาตรการคนละครึ่งพลัสสำหรับในเดือน ธ.ค.68 ลุ้นรัฐบาลอนุมัติมาตรการทางด่วน 50 บาทตลอดสายช่วงปีใหม่ซึ่งจะชดเชยด้วยส่วนแบ่งรายได้กับกทพ.จาก 40% เป็น 50%และมีโอกาสได้รับเลือกให้เซ็นต์สัญญาทางด่วนDouble Deck ที่คาดจะช่วยเพิ่มผู้ใช้ทางด่วนราว 10-15% Consensus คาดกำไรปี68 ที่ 3,849 ลบ. +2%YoY และปี69 ที่ 4,060ลบ.+6%YoY

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง