PRMดีมานด์ใช้น้ำมันพุ่ง ดันอัตราขนส่ง-รายได้โต
#PRM #ทันหุ้น - PRM มั่นใจผลประกอบการปี 2565 ดีกว่าปีก่อน หลังดีมานด์ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเพิ่มสูง อีกทั้งได้รับอานิสงส์รัฐคลายมาตรการล็อกดาวน์ เปิดประเทศท่องเที่ยว หนุน Jet-A1 ฟื้นตัว พร้อมเผยบริษัททรูธ มาริไทม์ เป็นแรงขับเคลื่อนผลงานสำคัญ ด้านธุรกิจ FSU คาดปีนี้มีแนวโน้มกลับมาเติบโต
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2564ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,471.61 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,402.84 ล้านบาท
รับดีมานด์พุ่ง
ปัจจัยหลักๆ เป็นผลมาจากความต้องการใช้งานเรือขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว (Domestic Trading) ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 48.5% ของรายได้รวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวจากการเดินทางภายในประเทศที่มากขึ้นตามการคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ที่เริ่มลดความรุนแรง ทำให้ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการทำกิจกรรมการค้าต่างๆ ได้มากขึ้น
โดยจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้มากขึ้น ส่งผลให้นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2565ความต้องการใช้งานน้ำมันอากาศยาน (Jet-A1) เริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นด้วย ปัจจุบันอยู่ที่ระดับราว 4-5%จากเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนที่ไม่มีสัดส่วน Jet-A1 เลย และหากว่าไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบก็คาดหวังว่าจะกลับมาแต่ที่ระดับใกล้เคียงก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 20%ส่งผลดีต่อการขนส่งน้ำมันของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทได้เข้าไปซื้อกิจการกลุ่มบริษัท ทรูธ มาริไทม์ (TM) จากกลุ่มไทยออยล์ ในปี 2564 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้รับเรือ Crew Boat เข้ามาเพิ่มจำนวน 13 ลำ มองว่าจะเข้าเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มธุรกิจ Offshore Support เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการกับลูกค้าได้เพิ่ม รวมถึงสร้างการรับรู้รายได้ให้กับบริษัทในปี 2565ได้อย่างเต็มปีเป็นปีแรก
กำลังผลิตเต็ม 100%
อีกทั้งในช่วงเดือนเมษายน 2565บริษัทได้รับคัดเลือกจาก ปตท.สผ. ในการให้บริการเรือ Crew Boat เพิ่มเติม จำนวน 9 ลำ ภายใต้สัญญาระยะยาว 5 ปี รวมกับที่ให้บริการเดิม จำนวน 4 ลำ รวมทั้งหมดเป็น 13 ลำ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการใช้เรือ Crew Boat ในปีนี้จะเต็ม 100% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ธุรกิจ Offshore Support คิดเป็นสัดส่วน 6.9% ของรายได้รวม
ด้านธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล (FSU) ก็คาดว่าจะมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีสัญญาความต้องการที่จะกักเก็บน้ำมันกันมากขึ้น แต่ในบางส่วนก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ หากเป็นเงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกส่วนบริษัทก็จะรับงาน ดังนั้น เชื่อว่างานกักเก็บน้ำมันก็มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2565นี้อีกด้วย
แผนการลงทุนในปี 2565เดิมบริษัทมีแผนที่จะจัดซื้อเรือขนส่งลำใหม่เข้ามาเพิ่ม 2-3ลำ แต่ด้วยสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน ทำให้ยังไม่ได้ข้อสรุปของการลงทุนที่ชัดเจนดังกล่าว ส่วนการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) นั้น บริษัทยังคงให้ความสนใจและเปิดโอกาสในการศึกษาโปรเจ็กต์ต่างๆ อยู่ตลอด ในขณะนี้ก็มีที่อยู่ระหว่างการเจรจา หากว่าได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจะรีบแจ้งให้ทราบ