รีเซต

คลัง มอบ แบงก์รัฐ ช่วยส่งเสริมเงินทุนสตาร์ตอัพ เพิ่มขีดการแข่งขันในต่างประเทศ

คลัง มอบ แบงก์รัฐ ช่วยส่งเสริมเงินทุนสตาร์ตอัพ เพิ่มขีดการแข่งขันในต่างประเทศ
มติชน
21 มีนาคม 2565 ( 07:17 )
58

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ให้นโยบายแก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หรือแบงก์รัฐในการเข้าสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ตอัพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ที่รัฐบาลสนับสนุน

 

“นโยบายของรัฐบาลนั้น ชัดเจนว่า ต้องการเข้าไปส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ตอัพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ในอดีตเราเข้าใจว่า ธุรกิจสตาร์ตอัพ คือ ธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่จะไปลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ซึ่งเราก็พร้อมที่จะสนับสนุน โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่มีอนาคต” นายสันติกล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้เห็นชอบมาตรการทางภาษีทางภาษีสำหรับการลงทุนในสตาร์ตอัพไทยที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งการลงทุนโดยตรงและการลงทุนโดยอ้อมผ่าน Venture Capital (CVC) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สตาร์ตอัพ ไทยสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้เพิ่มขึ้น

 

สำหรับมาตรการทางภาษี ประกอบด้วย 1.ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศสำหรับกำไรจากการขายหุ้นในสตาร์ตอัพ 2.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ CVC ทั้งไทยและต่างประเทศ และ PE Trust ต่างประเทศสำหรับกำไรจากการขายหุ้นในสตาร์ทอัพ

 

3.ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินใด้นิติบุคคลให้แก่ผู้ลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศสำหรับกำไรจากการขายหุ้นใน CVC ไทยและจากการที่ CVC ไทยเลิกกิจการ และกำไรจากการขายหน่วยทรัสต์ใน PE Trust ไทยและจากการที่ PE Trust ไทยเลิกกิจการ โดย CVC และ PE Trust ไทย ดังกล่าวเป็น CVC และ PE Trust ที่ลงทุนในสตาร์ทอัพ

 

สำหรับการลงทุนที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามข้อ 1-3 ต้องเป็นการลงทุนในสตาร์ตอัพ ไทยที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย และต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ และมีรายได้จากอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมดใน 2 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนการขายหุ้น

 

4.ผู้ลงทุนต้องถือหุ้นหรือหน่วยทรัสต์ไม่น้อยกว่า 24 เดือนก่อนการขายหุ้นหรือหน่วยทรัสต์ 5. CVC ไทยและ PE Trust ไทยต้องมีทุนไม่น้อยกว่า 20 ล้าน บาทและจดแจ้ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ 6.ระยะเวลาการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี คือ ตั้งแต่วันถัดจากวันที่พระราชกฤษฎีกา ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2575

 

คาดการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวจะทำให้ภายในปี 2569 จะมีเงินลงทุนในสตาร์ตอัพ ไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 แสนล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ และประชาชน รวมถึง เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง