รีเซต

16 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ ภาวะลองโควิด (Long Covid) แนะวิธีป้องกันที่ดีที่สุด!

16 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ ภาวะลองโควิด (Long Covid) แนะวิธีป้องกันที่ดีที่สุด!
TNN ช่อง16
28 มกราคม 2567 ( 11:19 )
89

ศูนย์จีโนมฯ เผย 16 ควรรู้เกี่ยวกับ "ลองโควิด(Long Covid)" ผลการศึกษาชี้ รุนแรงกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ยังไม่มียารักษา บางคนอาจมีอาการต่อเนื่องนานหลายเดือนหรือนานกว่าหนึ่งปี


ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เกี่ยวกับภาวะ ภาวะลองโควิด(Long Covid) 


โดยระบุว่า อัปเดตผลการศึกษาสำคัญ กลไกการเกิดโรค และแนวทางการลดผลกระทบจากลองโควิด ไม่มียารักษา การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยครั้งเป็นหนทางเดียว มีภาระโรคภัยที่สูงกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง


"ใครก็เป็นลองโควิดได้ ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม ขณะนี้การป้องกันเชิงรุก(ไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19) เป็นวิธีเดียวที่จะยุติการแพร่กระจายของกลุ่มอาการนี้"


**ลองโควิด EP.1** ปรับปรุง 28 ม.ค. 2567 เวลา 8:12


เป็นครั้งแรกของสหรัฐที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลภาวะลองโควิดอย่างจริงจังต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา (คาปิตอลฮิลล์) ที่ดำเนินการสร้างกฎหมายและตัดสินใจเกี่ยวกับการเมืองและนโยบายของประเทศ จัดขึ้นโดยคณะกรรมการด้านสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และบำนาญของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ดำเนินการโดยวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยของลองโควิด โดยมีคำให้การจาก ผู้ป่วยและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคลองโควิด โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยลองโควิดและการลงทุนในด้านการวิจัยขั้นสูงเกี่ยวกับโรคนี้


ดร.ซิยาด อัล-อาลี นักระบาดวิทยาทางคลินิกเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญนำเสนอข้อมูลลองโควิด ต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา สรุปว่า มหาภัยลองโควิด รุนแรงกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ยังไม่มียารักษา วิธีการป้องกันไม่ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยครั้งคือหนทางเดียวที่ป้องกันการเกิดโรคลองโควิด “จะไม่เกิดลองโควิด หากไม่ติดเชื้อโควิด-19”


ในการนำเสนอครั้งนี้มีทั้งผู้ป่วยลองโควิด แพทย์แนวหน้า และนักวิจัยจำนวนมากเข้าร่วมให้ความรู้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับโรคลองโควิดแก่บรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐไปพร้อมกัน


การศึกษาล่าสุดพบว่า อาการลองโควิดทำให้เกิดภาระโรคภัยที่สูงกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง โดยมีการวิเคราะห์พบว่าลองโควิด สร้างภาระของความพิการมากกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง นักวิจัยพบว่าภาวะลองโควิดส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพเกิน 80 ปีที่เทียบกับคุณภาพชีวิตหรือ DALYs ต่อกลุ่มประชากร 1,000 คนที่ไม่เคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อในครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะสูญเสียสุขภาพไป 21% 


ในขณะที่มีอาการลองโควิด การศึกษายังพบว่าผู้ที่เป็นลองโควิดอาจมีความพิการทางกายและจิตใจอย่างรุนแรง ขณะนี้มีชาวอเมริกันเป็นลองโควิดแล้วกว่า 20 ล้านคน และกว่า 4 ล้านคนที่ไม่สามารถทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่หน้าได้ ดังนั้นลองโควิดจึงมีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และภาครัฐต้องให้ความสนใจอย่างมาก


วิธีป้องกันลองโควิดที่ดีที่สุดคือป้องกันการติดเชื้อโควิดตั้งแต่แรก เพราะยังไม่มียารักษา "ไม่มีใครเป็นลองโควิดหากไม่ติดเชื้อโควิด-19"


ชื่ออย่างเป็นทางการของภาวะลองโควิดในสหรัฐอเมริกาคือ "ภาวะหลังโควิด" (Post-COVID Conditions; PCC) ตามที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) โดยมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น long-haul COVID, post-acute COVID-19, long-term effects of COVID, Chronic COVID และ post-acute sequelae of SARS-CoV-2 infection; PASC) เป็นต้น


"อาการลองโควิด" เป็นสภาวะที่ซับซ้อน มีผลกระทบต่อหลายอวัยวะ และนำไปสู่อาการทางระบบประสาทและการรับรู้ เช่น ความจำเสื่อม และความบกพร่องทางสติปัญญา นอกจากนี้ยังอาจกระตุ้นปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวานหรือโรคไต โดยรวมแล้ว ลองโควิดเป็นสภาวะที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ.


ภาวะลองโควิดทำให้ร่างกายอ่อนแอลงหลังการติดเชื้อ ไวรรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) พบมากกว่า 10% ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และพบมากกว่า 200 อาการ ส่งผลต่ออวัยวะหลายระบบ ทั่วโลกมีผู้ป่วยอาการลองโควิดประมาณ 65 ล้านคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น


ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ทบทวนวรรณกรรม ค้นคว้า รวบรวม ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และนำมาประมวลเรียบเรียงเป็น 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด


1. ความหมายและขอบเขตกลุ่มอาการลองโควิด:


อาการลองโควิดหรือที่รู้จักกันในชื่อ 'ผลระยะยาวของโควิด-19 (post-acute sequelae of COVID-19: PASC) มีลักษณะอาการที่หลากหลายซึ่งคงอยู่หลังจากการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเฉียบพลัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ


การปรับปรุง: เพิ่มความตระหนักรู้และความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับอาการที่หลากหลายของลองโควิด เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการยอมรับและสนับสนุนด้านกันรักษาอย่างทันท่วงที


2. ความชุกและผลกระทบ:


ลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 65 ล้านคนทั่วโลก จากการบันทึกข้อมูลทางคลินิกที่ถูกบันทึกไว้จากผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 651 ล้านคน พบอัตราการอุบัติการณ์โดยประมาณที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ


การป้องกัน: ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางและวางมาตรการด้านสาธารณสุขอื่นๆ เช่น ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยลดการติดเชื้อโควิด-19 และผลที่ตามมาจากกลุ่มอาการลองโควิด


3. ความสัมพันธ์ระหว่างอายุและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล:


กลุ่มอาการลองโควิดพบมากในช่วงอายุระหว่าง 36 ถึง 50 ปี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน อันรวมถึงอัตราการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ กิจกรรมทางสังคม และลักษณะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับอายุบางประการ โดยพบว่า 10-30% ของผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในโรงพยาบาล และ 50-70% ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะมีอาการป่วยเป็นลองโควิด


แนวทางแก้ไข: กำหนดมาตรการแทรกแซงการระบาดและสร้างความตระหนักรู้ด้านอาชีวอนามัยเน้นที่กลุ่มเสี่ยงอายุ 36-50 ปี เพื่อลดการสัมผัสจากสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้น้อยที่สุด และส่งเสริมมาตรการที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน เช่น ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย ร่วมกับการระดมฉีดวัคซีน ให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่เนิ่นๆเมื่ออาการเริ่มส่อรุนแรง หรือเป็นกลุ่มเปราะบาง


4. ความซับซ้อนและความรุนแรงของกลุ่มอาการลองโควิด:


กลุ่มคนที่พบอาการลองโควิดมีรายงานอาการที่หลากหลายในระบบอวัยวะต่างๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำให้การดูแลรักษามีความซับซ้อน


การปรับปรุง: ส่งเสริมการดำเนินการในรูปแบบสหคลินิกมีแพทย์ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องลองโควิดให้การดูแลและการจัดการอาการต่างๆอย่างครอบคลุมซึ่งปรับให้เหมาะกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย


5. เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด


อาการลองโควิดมีความเชื่อมโยงกับสภาวะอาการที่พบใหม่หลายอาการ เช่นโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวานประเภท 2, อาการปวดกล้ามเนื้อจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME), อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS) และภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงระบบที่กว้างขวาง


การป้องกัน: เสริมสร้างการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรคของสภาวะเหล่านี้ และพัฒนากลยุทธ์การป้องกันแบบกำหนดเป้าหมายสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง


6. หาสาเหตุเพื่อตั้งสมมุติฐานการเกิดโรค:


มีการพูดคุยถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ต่างๆ เช่น รังโรคของไวรัส การควบคุมภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและชนิดของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการลองโควิด


การปรับปรุง: ลงทุนในการวิจัยเพื่อเข้าใจกลไกพื้นฐานของกลุ่มอาการลองโควิด เพื่อปูทางไปสู่วิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพ


7. ข้อมูลเชิงลึกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและไวรัสวิทยา:


การศึกษาวิจัยเชิงลึกได้เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการตอบสนองทั้งทางภูมิคุ้มกันและไวรัสวิทยา ซึ่งรวมถึงความอ่อนล้าของทีเซลล์ ระดับไซโตไคน์ที่เพิ่มขึ้น และการเกิดขึ้นของแอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นผลกระทบที่ซับซ้อนและยาวนานต่อระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ การค้นพบทางไวรัสวิทยายังเน้นย้ำถึงบทบาทของการติดเชื้อแฝงอยู่ในร่างกาย (viral persistence) และกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลต่อพยาธิวิทยาการเกิดอาการลองโควิด


แนวทางแก้ไข: กำหนดการบำบัดเพื่อปรับภูมิคุ้มกันและกลยุทธ์การรักษาเฉพาะบุคคลโดยพิจารณาโปรไฟล์การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล ขณะเดียวกันก็ผสมผสานข้อมูลเชิงลึกด้านไวรัสวิทยาเพื่อกำหนดเป้าหมายส่วนประกอบของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคลองโควิด


8. ความเสียหายของอวัยวะและปัญหาทางระบบของร่างกาย:


อาการลองโควิดนำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะในวงกว้าง รวมถึงหัวใจ ปอด และสมอง เกิดปัญหาต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนในระบบโลหิตของร่างกาย


การปรับปรุง: ติดตามและการแทรกแซงอาการดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสียหายของอวัยวะ เช่น หัวใจ ปอด และสมองและพยายามแก้ไขปัญหาเชิงระบบในเชิงรุก


9. ผลกระทบของระบบประสาทและการรับรู้:


อาการลองโควิดส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการสูญเสียความทรงจำ ความบกพร่องทางสติปัญญา และการรบกวนทางประสาทสัมผัส ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตประจำวัน


การป้องกัน: จัดทำโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพทางปัญญาและบริการสนับสนุนเพื่อช่วยในการฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของบุคคลที่ได้รับผลกระทบ


10. ME/CFS, Dysautonomia และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด:


สังเกตพบความคล้ายคลึงกันระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้ออันมีสาเหตุมาจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME) และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS), ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) กับอาการลองโควิด เช่น กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome: POTS) หรือกลุ่มอาการการกระตุ้นเซลล์แมสต์ (mast cell activation syndrome) อันเป็นภาวะที่เซลล์แมสต์ปล่อยสารเคมีมากเกินไป ทำให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย 


รวมถึงอาการแพ้ต่างๆ เซลล์เหล่านี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อ ยา ความเครียด และอาหาร ทำให้มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคที่ควรครอบคลุมประวัติทางคลินิก การตรวจร่างกาย และการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยา เช่น ยาแก้แพ้และยาเพิ่มความเสถียรของเซลล์แมสต์


การปรับปรุง: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มอาการ ME/CFS, ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์และแพทย์ผู้รักษาโรคลองโควิดเพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและพัฒนาแนวทางการรักษาแบบองค์รวม


11. ผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์:


ลองโควิดส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้ประจำเดือนเปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการทำงานของรังไข่และลูกอัณฑะ บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการวิจัยและการดูแลเฉพาะทาง


วิธีแก้ไข: ดำเนินการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของอาการลองโควิด และให้บริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสม


12. ผลกระทบต่อเด็ก:


เด็กได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากอาการลองโควิด โดยมีอาการและความเสี่ยงด้านสุขภาพที่รุนแรงคล้ายผู้ใหญ่ กระตุ้นให้มีการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์การดูแลสุขภาพสำหรับกลุ่มเปราะบางนี้


การป้องกัน: จัดลำดับความสำคัญของการวิจัยในเด็กเกี่ยวกับโรคลองโควิด พัฒนาวิธีปฏิบัติในการรักษาที่เป็นมิตรต่อเด็ก และจัดให้มีระบบช่วยเหลือสำหรับเด็กที่ได้รับผลกระทบและครอบครัวของเด็ก


13. ระยะเวลาการดำเนินของโรคและภาวะลุกลามของอาการ:


อาการเริ่มแรก ช่วงระยะเวลาการดำเนินของโรค และการลุกลามของอาการของลองโควิดนั้นแตกต่างกันอย่างมาก


I. การเริ่มมีอาการ(onset): ช่วงเวลานี้อาจมีตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์หลังการติดเชื้อ


II. ระยะเวลาการดำเนินของโรค (duration): ระยะเวลาที่แต่ละบุคคลประสบกับอาการลองโควิดมีความผันแปรสูง บางคนพบว่าอาการค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หรือยาวเป็นเดือน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการต่อเนื่องนานหลายเดือนหรือนานกว่าหนึ่งปี


III. การลุกลาม(progression) : บางคนมีอาการลองโควิดคงที่ บางคนเป็นๆหายๆ บางรายอาจมีอาการดีขึ้นในระยะๆ ตามด้วยการกำเริบของโรค (มักเรียกว่ารูปแบบ 'รถไฟเหาะตีลังกา') และบางคนอาจสังเกตเห็นการอาการค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป


การปรับปรุง: ใช้การลงทะเบียนผู้ป่วยและการศึกษาระยะยาวเพื่อจัดทำแผนผังความก้าวหน้าของอาการ และแจ้งแผนการรักษาและการให้คำปรึกษาเชิงพยากรณ์
ความผันแปรของเวลาการดำเนินโรคและการลุกลามของอาการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางการรักษาและการช่วยเหลือผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคล


14. เครื่องมือวินิจฉัยและการรักษา:


การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยและกลยุทธ์การรักษาเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาที่ได้รับการตรวจสอบ มีประสิทธิผล และเครื่องมือวินิจฉัยที่ครอบคลุม


ทางแก้ไข: เร่งการพัฒนาและการตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวินิจฉัย ตัวชี้วัดทางชีวภาพ และการรักษาที่มีประสิทธิผล ผ่านการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นและความพยายามในการวิจัยร่วมกัน


15. ผลกระทบของวัคซีน สายพันธุ์ของโควิด-19 และการติดเชื้อซ้ำ:


การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีน, SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆ และการติดเชื้อซ้ำต่ออุบัติการณ์และการลุกลามของอาการลองโควิด:


I. ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่ออุบัติการณ์ของโรคลองโควิด:


• ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่อการพัฒนาของลองโควิดนั้นแตกต่างกันไปตามการศึกษาต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษา เวลาที่ผ่านไปนับตั้งแต่การฉีดวัคซีน และคำจำกัดความเฉพาะของกลุ่มอาการลองโควิดที่ใช้


• การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในการพัฒนาการเกิดลองโควิดระหว่างบุคคลที่ฉีดวัคซีนและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน


• หลายการศึกษาแนะนำว่าวัคซีนให้การป้องกันอาการลองโควิดได้ในระดับหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการลองโควิดได้ 15% ถึง 41% แม้จะป้องกันอาการลองโควิดได้บางส่วน แต่เรายังพบลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 9%
II. อิทธิพลของเชื้อ SARS-CoV-2 และระดับการฉีดวัคซีน:


• สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรตั้งข้อสังเกตว่าโรคลองโควิดนั้นแพร่หลายน้อยกว่า 50% ในผู้ที่ฉีดวัคซีนสองครั้งและต่อมาติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ ดั้งเดิม BA.1 (breakthrough infection) เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามครั้ง


• พบอาการลองโควิดในผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 มากกว่า BA.1 โดยทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2 พัฒนาเป็นลองโควิดถึง 9.3%
III. ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่ออาการลองโควิดที่เป็นอยู่เดิม:


• อิทธิพลของการฉีดวัคซีนต่ออาการของบุคคลที่เป็นโรคลองโควิดมานานก่อนหน้าจะแตกต่างกันไป บุคคลเหล่านี้ประมาณ 16.7% มีอาการบรรเทาขึ้น ในขณะที่ 21.4% มีอาการแย่ลง ส่วนคนอื่นๆ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของอาการ
IV. ผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำ:


• การติดเชื้อซ้ำด้วยโควิด-19 กำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น การทำความเข้าใจผลกระทบของการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำหลายครั้งถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคลองโควิดหลังการติดเชื้อซ้ำครั้งที่สองหรือสาม และผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำต่อบุคคลที่เป็นโรคลองโควิดอยู่แล้ว


• การวิจัยเบื้องต้นบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของอาการลองโควิดแม้แต่ในบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนสองหรือสามเข็มแล้วก็ตาม มีหลักฐานว่าการติดเชื้อซ้ำหลายครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมหรือเพิ่มความอ่อนไหวต่อการเกิดลองโควิดประเภท ME/CFS


• มีหลักฐานเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันบางอย่างในผู้ที่เป็นโรคลองโควิดเป็นเวลานานจะทำให้ระดับแอนติบอดีในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 มีระดับต่ำลงและมีระดับแอนติบอดีต่อร่างกายตนเองที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อซ้ำ


การป้องกัน: ปรับเปลี่ยนและอัปเดตกลยุทธ์การฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ และข้อมูลใหม่ของการติดเชื้อซ้ำ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงและความรุนแรงของการเกิดอาการลองโควิด


16. ความท้าทายและข้อเสนอแนะ: 


ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต้องร่วมสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกอย่างเข้มแข็งเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสาธารณสุขที่กำลังเกิดขึ้นนี้จากปัญหาลองโควิด


การปรับปรุง: ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขวางต้องร่วมกันวางนโยบายระยะสั้น  ระยะกลาง และระยะยาวในด้านการสนับสนุนการวิจัยที่เกี่ยวกับลองโควิด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพ และระบบการสนับสนุนทางสังคม เพื่อจัดการกับความท้าทายหลายแง่มุมที่เกิดจากภาวะลองโควิด





ที่มา Center for Medical Genomics 

ภาพจาก รอยเตอร์

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง