รีเซต

วิกฤตซ้อนวิกฤต! ความยากจน-ครอบครัวแตกแยก ทำลายอนาคตเด็กไทย

วิกฤตซ้อนวิกฤต! ความยากจน-ครอบครัวแตกแยก ทำลายอนาคตเด็กไทย
TNN ช่อง16
7 พฤศจิกายน 2567 ( 11:43 )
25
วิกฤตซ้อนวิกฤต! ความยากจน-ครอบครัวแตกแยก ทำลายอนาคตเด็กไทย

วิกฤตการศึกษาไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพบว่ามีเด็กวัยเรียนภาคบังคับกว่า 394,000 คนหายไปจากระบบการศึกษา ณ เดือนตุลาคม 2567 ตัวเลขที่น่าตกใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเด็กทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง


ย้อนดูสถิติในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ยิ่งน่าวิตก จากปี 2562 ที่มีเด็กหลุดจากระบบราว 238,707 คน เพิ่มขึ้นเป็น 1.02 ล้านคนในปี 2565 และยังคงตัวเลขนี้มาจนถึงปี 2566 ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือในปี 2567 พบว่ามีเด็กที่เสี่ยงจะหลุดจากระบบการศึกษาอีกถึง 2.8 ล้านคน


ความยากจน: กำแพงกั้นโอกาสทางการศึกษา


"ความยากจน" คือตัวการสำคัญที่ผลักดันให้เด็กต้องออกจากระบบการศึกษา จากการสำรวจพบว่าครอบครัวในกรุงเทพฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนสูงถึง 37,000 บาทต่อคนในช่วงเปิดเทอม ขณะที่ต่างจังหวัดมีค่าใช้จ่ายราว 17,800 บาทต่อคน ตัวเลขที่สูงลิ่วนี้กลายเป็นกำแพงขวางกั้นโอกาสทางการศึกษาของเด็กจากครอบครัวยากจน หลายคนจำต้องเลือกระหว่างการเรียนหนังสือกับการออกมาทำงานช่วยพ่อแม่หาเลี้ยงครอบครัว


นอกจากการช่วยเหลือในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยังเป็นความหวังสำคัญในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนไทย โดยตลอด 25 ปีที่ผ่านมา กยศ. ได้ให้โอกาสนักเรียน นักศึกษากว่า 6.2 ล้านคนได้เข้าถึงการศึกษา ด้วยเงินให้กู้ยืมกว่า 696,802 ล้านบาท ที่คิดดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี และให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 15 ปี ปัจจุบันกองทุนมีเงินหมุนเวียนจากการชำระคืนกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้สามารถสร้างโอกาสให้รุ่นน้องได้เรียนต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นมา


ล่าสุดในปีการศึกษา 2567 รัฐบาลยังได้ปรับปรุงกฎหมาย กยศ. ใหม่ ให้เอื้อประโยชน์ต่อผู้กู้มากขึ้น ทั้งการลดเบี้ยปรับจาก 18% เหลือเพียง 0.5% ต่อปี การเพิ่มทางเลือกในการผ่อนชำระ และการปรับลำดับการตัดหนี้ให้ตัดเงินต้นก่อน ส่งผลให้ภาระหนี้ของผู้กู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่อาจมีหนี้คงค้าง 210,000 บาท เหลือเพียง 51,000 บาท นับเป็นความพยายามที่จะทำให้การศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ แม้จะมาจากครอบครัวที่มีข้อจำกัดทางการเงิน 


สถิติหย่าร้างพุ่ง! สะเทือนอนาคตเด็กไทย


นอกเหนือจากความยากจนที่เป็นปัจจัยหลัก การแตกสลายของสถาบันครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งสำคัญที่ผลักดันให้เด็กต้องหลุดจากระบบการศึกษา สะท้อนได้จากสถิติการหย่าร้างของไทยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าวิตก โดยเฉพาะในปี 2565 ที่มีคู่สมรสหย่าร้างสูงถึง 146,159 คู่ นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และยิ่งน่าเป็นห่วงเมื่อพบว่าในไตรมาสแรกของปี 2566 มีการหย่าร้างแล้วถึง 24,901 คู่


เมื่อย้อนดูสถิติการหย่าร้างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2561-2565) พบว่ามีครอบครัวแตกแยกรวมกว่า 634,891 คู่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่มีอัตราการหย่าร้างสูงสุดถึง 17,635 คู่ในปี 2565 วิกฤตครอบครัวที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กๆ หลายคนต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ขาดการดูแลเอาใจใส่ และบางรายต้องรับภาระเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว จนไม่สามารถเรียนต่อได้


วาระแห่งชาติ! หยุดวิกฤตเด็กหลุดจากระบบการศึกษา


รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการประกาศให้โครงการ "Thailand Zero Dropout" เป็นวาระแห่งชาติ โดยล่าสุด กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ปรับเพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับนักเรียนระดับประถม-มัธยมต้นจาก 3,000 บาท เป็น 4,200 บาทต่อคนต่อปี ส่วนระดับอนุบาลให้ 4,000 บาทต่อคนต่อปี คาดว่าจะช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงได้ราว 1.3 ล้านคน รวมทั้งเด็กกลุ่มยากจนพิเศษกลุ่มใหม่อีก 5 แสนคน


การแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการสร้างระบบช่วยเหลือทางการเงินที่เข้าถึงง่าย การปรับระบบการศึกษาให้ยืดหยุ่น การติดตามช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงอย่างทันท่วงที และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน


เพราะการศึกษาคือรากฐานของการพัฒนาประเทศ การปล่อยให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาจำนวนมากเช่นนี้ ไม่เพียงทำลายอนาคตของเด็กแต่ละคน แต่ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้


อ้างอิง 

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง