ศาลไทเปตัดสินจำคุก 4 หนุ่มไต้หวัน รับพัสดุเฮโรอีนจากพม่า แทนนักค้ายาชาวไทย
วันที่ 31 มี.ค. อีทีทูเดย์ รายงานความคืบหน้าคดีลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากเมียนมาเข้ามาไต้หวัน โดยคนไทยว่าจ้างกลุ่มคนไต้หวันรับพัสดุเฮโรอีนอัดแท่ง มูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (120 ล้านบาท) ซุกซ่อนข้างใต้พระพุทธรูปขนาดเล็ก 24 องค์ และพยายามฝ่าด่านศุลกากรไต้หวันเข้ามา แต่หนึ่งในผู้สมร่วมรู้คิดยอมมอบตัว เมื่อช่วงกลางปี 2564
ล่าสุด ศาลเขตเถาหยวนของไต้หวันพิจารณาตามหลักฐานว่า กลุ่มคนไต้หวันดังกล่าวที่มี 4 คน มีส่วนร่วมในการขนยาเสพติด แต่เชื่อว่าพัสดุดังกล่าวเป็นเคตามีน และพยายามปฏิเสธการรับพัสดุ ผู้พิพากษาจึงสรุปการพิจารณาคดีและพิพากษาให้กลุ่มคนไต้หวัน 4 คน มีความผิดในข้อหาพยายามขนยาเสพติดประเภทที่ 3 (เคตามีน) จำคุก 1-5 ปี ลดหลั่นกันไป
สำหรับคดีดังกล่าว จากการสอบสวนของตำรวจ นายชิว อายุ 27 ปี เป็นเพื่อนกับชายคนไทยไม่ทราบชื่อแต่มีชื่อเล่น "พลตรีดันทุน" (Major General Dantun - 丹吞少將) พลตรีดันทุนลักลอบนำเข้าเฮโรอีนล็อตดังกล่าวจากเมียนมาเข้ามาไต้หวัน เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2564 แต่ไม่สามารถรับพัสดุได้ทันที เนื่องจากมาตรการกักกันโรคระบาดโควิด-19 จึงมอบหมายให้นายชิวช่วยรับพัสดุด้วยเงินว่าจ้าง 480,000 ดอลลาร์ใหม่ไต้หวัน
ต่อมา นายชิวว่าจ้าง นายหลิน อายุ 23 ปี และ นายฟ่าน อายุ 24 ปี มาร่วมงานด้วย แต่นายหลินและนายฟ่านกลัวถูกเปิดเผยตัวตน จึงเสนอเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์ใหม่ไต้หวัน แก่เพื่อนอีกคน คือ นายหลิว อายุ 22 ปี เพื่อแลกกับใช้ชื่อของนายหลิวสวมรอยเป็นผู้รับพัสดุดังกล่าว และนายหลิวตอบตกลงเนื่องจากมีภาระหนี้สินอยู่
จากนั้น วันที่ 9 ก.ค. นายหลิวและนายฟ่านขับรถไปพื้นที่คลังสินค้าของสนามบินซงซานเพื่อไปรับพัสดุ แต่ไปผิดสถานที่ และพบว่าพัสดุดังกล่าวอยู่ที่สนามบินเถาหยวน วันเดียวกันนั้น นายหลิวเข้าไปสำนักงานศุลกากร สนามบินเถาหยวน และแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร "ต้องการรับพัสดุแต่ไม่ทราบว่าจะรับอย่างไร"
ภายหลัง นายหลิวเปลี่ยนใจไม่รับพัสดุ เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงสงสัย และนายหลิวยอมมอบตัวและอ้างว่า ตนถูกสั่งมารับพัสดุยาเสพติด สร้างความตกตะลึงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
ศุลกากรและตำรวจการบินไต้หวันตรวจสอบทันที พบพัสดุที่ส่งมาถึงที่สนามบินเถาหยวนและยังไม่มีผู้มารับ เจ้าหน้าที่เปิดพัสดุเพื่อตรวจสอบพระพุทธรูปขนาดเล็ก 24 องค์ พบเฮโรอีนบริสุทธิ์อัดแท่งประทับด้วยตราสิงห์คู่เหยียบลูกโลกซุกซ่อนอยู่ข้างใต้ (น้ำหนักพัสดุ 8.16 กก. น้ำหนักเฮโรอีนสุทธิ 7.04 กก. และความบริสุทธิ์ร้อยละ 90.61) คาดว่าราคาตลาดจะไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและสืบสวนตามลำดับขั้นตอน ควบคุมตัวนายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน คดีดังกล่าวมีการพิจารณา และแม้จะพยายามหลบเลี่ยงการตรวจสอบและการพิจารณาคดีใหม่ แต่ 4 คน ถูกตั้งข้อกล่าวหาต้องสงสัยลักลอบขนยาเสพติดประเภทที่ 1 (เฮโรอีน)
ศาลเขตเถาหยวนพบว่า พัสดุเฮโรอีนเกินกำหนดในการยื่นใบขนสินค้า (Customs Declaration) มากกว่า 20 วันแล้ว เป็นสินค้านำเข้าเกินกำหนดซึ่งศุลกากรสามารถขายทอดตลอดได้ทุกเวลา ศาลไม่พบหลักฐานว่า นายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน เกี่ยวข้องกับบริษัทผู้รับพัสดุเป็นคนแรก ผู้พิพากษาเห็นว่า หลังพัสดุเข้ามาไต้หวัน ชาวไทยผู้บงการจึงว่าจ้างนายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน ไปรับพัสดุ เนื่องจากเจ้าตัว ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อผู้รับพัสดุ ไม่กล้าออกไปรับเอง
นายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน ไม่ทราบมาก่อนว่า พัสดุไม่ได้อยู่ที่สนามบินซงซาน ต่อมาสอบถามและทราบว่า พัสดุอยู่ที่สนามบินเถาหยวน หลักฐานการดำเนินคดีของอัยการไม่ได้ชี้ว่า นายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน ทราบมาก่อนแล้วว่า ข้างในพัสดุมียาเสพติดประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) ขณะที่นายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน ซึ่งถูกควบคุมตัวและสอบปากคำ อ้างว่า พวกเขาเชื่อว่า พัสดุเป็นยาเสพติดประเภทที่สาม (เคตามีน)
อัยการตั้งข้อหาขนส่งยาเสพติดประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) กับนายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน แต่หลังการพิจารณาคดี สามารถชี้ชัดได้เพียงว่า นายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน มีส่วนร่วมในขั้นตอนขนยาเสพติดในไต้หวัน และมีความผิดขนยาเสพติดประเภทที่ 3 (เคตามีน) แต่เป็นเพียงการพยายามกระทำ เนื่องจากไม่ได้ขนพัสดุยาเสพติดดังกล่าว และเมื่อพิจารณาถึงระดับการมีส่วนร่วมของนายชิวและผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน พบว่า นายหลิวยอมมอบตัว ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 3 คน ต่างสารภาพในระดับแตกต่างกันไป
นอกจากนี้ นายชิวมีประวัติอาชญากรรมในประเทศไทย แต่เดินทางกลับมาไต้หวัน และยังก่ออาชญากรรมอื่นๆ อีก
UDU
จากการสอบสวนโดยตำรวจ นายชิว อายุ 27 ปี ร่วมมือกับชายสัญชาติไทยที่มีชื่อเล่นว่า “พลตรีดัน
ผู้พิพากษาจึงสรุปการพิจารณาคดี ตัดสินให้นายฟ่าน นายหลิน นายชิว และนายหลิว มีความผิดในข้อหาพยายามขนส่งยาเสพติดประเภทที่สาม (เคตามีน) จำคุก 2 ปี 6 เดือน, 3 ปี, 5 ปี และ 1 ปี ตามลำดับ แต่สามารถอุทธรณ์เพื่อสู้คดีต่อไปได้