ใครทำให้ตึกถล่ม? นายกฯ สั่งลุย หมายจับออกแน่ใน 7 วัน

“ใกล้ถึงวันชี้ชะตา! เมื่อ ‘ตึกถล่ม’ กลายเป็นบทพิสูจน์ความกล้าในการจับผิดคนมีอำนาจ”
“รัฐบาลไม่ปล่อยมือแน่”
“หลักฐานถึงใคร ต้องมีคนรับผิด”
“ไม่เกิน 7 วัน ออกหมายจับ!”
เสียงยืนยันจากทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สะท้อนแรงกดดันทางสังคมที่กำลังถาโถมใส่รัฐบาล จากโศกนาฏกรรมตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่ม เมื่อปลายมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปหลายราย ขณะเดียวกันก็กระแทกศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ “ระบบราชการ” ให้สั่นคลอน
“ความตายไม่ควรเงียบ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เสียงเรียกร้องความเป็นธรรมจะดังกึกก้อง เมื่อเหตุการณ์ตึกถล่มเกิดขึ้นในอาคารรัฐ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องโศกนาฏกรรม หากแต่เป็น “บททดสอบระบบ” ว่า ใครคือ “คนผิด” และ “รัฐกล้าพอไหม” ที่จะจัดการจริงจัง โดยไม่สนว่าเป็น “ใคร” หรือ “สังกัดไหน”
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประชุมรับฟังรายงานด้วยตัวเอง ยืนยัน “รัฐบาลไม่ได้ปล่อยมือ” พร้อมกระตุกหน่วยงานที่ยัง “ชักช้า” ในการส่งเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะจากหน่วยงานเจ้าของอาคารอย่าง สตง. ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า “รู้ทั้งรู้ว่าผิดสัญญา แต่กลับไม่ยกเลิกสัญญาตามกำหนด”
จุดนี้ถือเป็น “คีย์เวิร์ด” สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับ “หน้าที่โดยตรง” ของเจ้าหน้าที่รัฐ หากละเว้นก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐาน “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
“หลักฐานจะพูดเองว่าใครผิด”
พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. ย้ำว่า “ไม่เกิน 7 วันจะออกหมายจับ” แต่ยังไม่สามารถบอกจำนวนผู้ต้องหาได้ เพราะอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเน้นว่าต้องดำเนินคดีกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทรับเหมา วิศวกร ผู้ออกแบบ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ หากพบว่า “มีส่วนร่วมในความผิด”
น่าสนใจตรงที่คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างถล่ม แต่ยังโยงไปถึง การฮั้วประมูล และ ธุรกิจนอมินีต่างชาติ ซึ่งเป็น “คดีพิเศษ” ที่ดีเอสไอรับดูแลอยู่ พร้อมกับประเด็นด้านมาตรฐานวัสดุ และการแก้ไขแบบโดยไม่เสริมโครงสร้าง ซึ่งส่อให้เห็นถึงการตัดมุม ลดต้นทุน หรือแม้แต่ปลอมแปลงเอกสาร
“คำถามที่สังคมไม่อยากให้เงียบหาย”
ประชาชนยังตั้งคำถามว่า การเอาผิดจะหยุดอยู่แค่บริษัทเอกชน หรือจะกล้า “ขุดลึก” ไปถึงข้าราชการผู้มีอำนาจอนุมัติให้โครงการนี้เดินหน้าได้ ทั้งที่มีสัญญาณความผิดปกติอย่างต่อเนื่อง
“เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครรับผิด” นายกฯ กล่าวไว้เช่นนั้น และเป็นประโยคที่อาจถูกใช้ตัดสิน “ความกล้า” ของรัฐบาลนี้ว่า พอจะหยุดวงจร “คนมีเส้น ไม่ต้องผิด” ได้หรือไม่
หากปล่อยให้ความตายเพียงครั้งนี้ผ่านไปอย่างไร้บทเรียน ก็เท่ากับรัฐได้ “ยอมแพ้” ต่อความจริง และประชาชนจะหมดศรัทธาต่อระบบยุติธรรมไปอีกนาน
โศกนาฏกรรม “ตึกถล่ม” อาจดูเหมือนอุบัติเหตุ แต่แท้จริงแล้วมันคือ “ผลสะสมของระบบที่ไม่กล้ารับผิด” วันนี้จึงไม่ใช่แค่การออกหมายจับ แต่คือการประกาศให้รู้ว่า “รัฐมีศักดิ์ศรีพอที่จะฟ้องคนผิด ไม่ว่าคนนั้นจะมีตำแหน่งอะไร”