“อัฟกานิสถาน” แผ่นดินไหว 6.3 เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 20 ราย สะเทือนหนักทำไฟดับทั่วประเทศ

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของอัฟกานิสถานเปิดเผยว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ทางตอนเหนือของประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 20 ราย และคาดว่าตัวเลขอาจสูงขึ้นอีก เนื่องจากปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยยังไม่เสร็จสิ้น

แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันจันทร์ ใกล้กับเมือง มาซาร์อีชารีฟ (Mazar-e-Sharif) ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สุดของอัฟกานิสถาน มีประชากรราว 500,000 คน

สำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ (USGS) รายงานว่า จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ดินราว 28 กิโลเมตร และถูกจัดให้อยู่ในระดับการแจ้งเตือน “สีส้ม” ซึ่งหมายถึง มีแนวโน้มที่จะเกิดความเสียหายและมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในระดับสูง

กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลตาลีบันเปิดเผยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้มากกว่า 530 คน โดยเจ้าหน้าที่เร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่หลายชุมชนยังถูกตัดขาดจากการติดต่อสื่อสาร

โฆษกของกลุ่มตาลีบันในจังหวัด บัลข์ (Balkh) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองมาซาร์อีชารีฟ เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) ว่า พบผู้บาดเจ็บจำนวนมากในเขต โชลกรา (Sholgra) ทางตอนใต้ของเมือง และมีรายงานความเสียหายเล็กน้อยในแทบทุกเขตของเมืองมาซาร์อีชารีฟ

แรงสั่นสะเทือนยังส่งผลให้เกิด ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างทั่วประเทศ รวมถึงในกรุง คาบูล หลังจากสายส่งไฟฟ้าจาก อุซเบกิสถาน และ ทาจิกิสถาน ซึ่งเป็นแหล่งจ่ายไฟหลักให้กับอัฟกานิสถานได้รับความเสียหาย ทำให้หลายพื้นที่ต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟสำรอง

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า อัฟกานิสถานเผชิญเหตุแผ่นดินไหวแล้วมากกว่า 100 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1900 เป็นต้นมา โดยเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นในปี 2022 เมื่อแผ่นดินไหวขนาด 6 คร่าชีวิตผู้คนกว่า 1,000 ราย ส่วนในปี 2023 ประเทศต้องเผชิญแผ่นดินไหวหลายระลอกภายในเดือนเดียว มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1,000 ราย และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกิดแผ่นดินไหวอีกครั้งที่คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 2,200 ราย

โดยเฉลี่ยในแต่ละปี อัฟกานิสถานมีผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวราว 560 ราย และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึงกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท ทำให้องค์กรด้านมนุษยธรรมเตือนให้รัฐบาลตาลีบันเร่งปรับปรุงระบบรับมือภัยพิบัติ เพื่อช่วยลดความสูญเสียในอนาคต