บลจ.ทิสโก้จับตาบอนด์ยิลด์ คาดดึงเม็ดเงินทำหุ้นผันผวน

#บลจ.ทิสโก้#ทันหุ้น - บลจ.ทิสโก้ เผยปี 2568 บอนด์ยิลด์เป็นปัจจัยที่นักลงทุนกังวลสุด เหตุทำตลาดหุ้นผันผวนหนัก หากหุ้นสหรัฐปรับฐาน ถือเป็นโอกาสลงทุน ส่วนเอเชีย หุ้นเวียดนามเด่นเล่นในธีมเศรษฐกิจขยายตัว ส่วนไทยโตไม่มากจากแรงกดดันเม็ดเงินไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ แนะเลือกรายตัว พื้นฐานแกร่ง
นายกันติพัฒน์ วงศ์สุคนธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายงานกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ และการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ผลสำรวจความกังวลในปี 2568 พบว่า นักลงทุน รวมถึงผู้จัดการกองทุนทั่วโลก ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักความกังวลมากสุดคือการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ
*หุ้นผันผวน
“คาดว่าตลาดหุ้นปีนี้ยังคงผันผวน เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนจะไหลออกจากตลาดหุ้นเข้าตลาดตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น โดยจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนหรือยิลด์ของตราสารหนี้มีการปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนทำให้นักลงทุนตัดสินใจโยกเงินออกจากหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เข้าตราสารหนี้แทน”
ทั้งนี้ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในธันวาคม 2567 ที่ 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% และส่งสัญญาณว่า ปี 2567 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 2 ครั้ง โดยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง ตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ยาว ราคาจะปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นจากราคาตราสารที่ปรับขึ้น
นายกันติพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ก็ยังมีความกังวล แต่ก็ไม่ได้มากเท่าการปรับขึ้นของ Bond Yield เพราะนโยบายของทรัมป์ 2.0 ที่ประกาศออกมาก็อาจจะทำไม่ได้ทั้งหมด เช่น ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60%ก็อาจจะขึ้นแค่บางหมวด เพราะสิ่งที่สหรัฐต้องรักษาไว้คือบทบาทของดอลลาร์
*รักษาบทบาทดอลลาร์
“ปัจจุบันสกุลดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินหลักในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ทำให้บทบาทของดอลลาร์ยังคงมีความสำคัญ แต่การกีดกันการค้าของสหรัฐ ที่ไม่ได้มีแค่จีน แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ หากหนักขึ้นก็อาจจะกระทบต่อบทบาทของดอลลาร์ ด้วยว่ากลุ่มประเทศที่ได้ผลกระทบกำแพงภาษีจะไปทำการค้าขายด้วยสกุลเงินอื่นแทน เช่น ยูโร หยวน ซึ่งถ้าบทบาทของดอลลาร์ลดลง อำนาจ และความสามารถในการกดดันต่างๆ ของสหรัฐ ก็อาจจะลดลงได้ ดังนั้นในแง่ของการขึ้นกำแพงภาษี มองว่าเป็นเรื่องของการเจรจาต่อรองกัน และคงจะขึ้นแค่บางหมวดสินค้าเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของการลงทุนในปี 2568 นั้น สำหรับหุ้นต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐก็ยังเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ตรวม โดยหุ้นเทคโนโลยี อย่าง AI และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุน
“หุ้นสหรัฐอาจมีการปรับฐานได้ จากคงามผันผวนของเม็ดเงินลงทุนที่ไหลจากหุ้นไปหาตราสารหนี้ที่ให้ยิลด์ดี แต่เรามองว่าเป็นการปรับฐานที่ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานไม่ดี ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง การปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นจึงมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน ซึ่งโดยปกติการปรับฐานนั้นจะอยู่ที่ราว 5-10%”
นายกันติพัฒน์ บอกว่า หากหุ้นสหรัฐมีการปรับฐาน กลุ่มที่ควรเลือกลงทุน คือหุ้นที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของทรัมป์ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล โดยหุ้นขนาดกลางและเล็กจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างภาษี ทำให้ผลประกอบการอาจเติบโตได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่,หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ก็ยังมีโอกาสเติบโตและได้รับผลบวกจากการมาของทรัมป์
*เอเชียเศรษฐกิจโต
ขณะที่เอเชียนั้นไม่รวมจีน จะเห็นได้ว่ามีกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) ยังคงมีเศรษฐกิจเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเวียดนาม รวมถึงไต้หวันและเกาหลีใต้ ที่มีจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งยังคงเป็นเมกะเทรนด์โลกที่จะเติบโตต่อได้อีกมาก
ส่วนไทยยังคงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนจากภาคส่งออก การท่องเที่ยว และการกระตุ้นจาก การลงทุนของรัฐบาล อย่างไรก็ตามการเติบโตจะกระจุกตัวอยู่ในบางอุตสาหกรรม อีกทั้งแรงกดดันจากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลออกไปลงทุนยังตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้หุ้นไทยปี 2568 คงเติบโตได้ไม่มาก ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่จะลงทุนนในหุ้นไทยอาจต้องเลือกเป็นรายตัว ในหุ้นที่พื้นฐานแข็งแกร่ง รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
ในส่วนของสินทรัพย์ทางเลือก ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหากมีการปรับฐานราคาให้ลงมา นอกจากนี้ บิทคอยน์ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่รับยความเสี่ยงได้สูง
นายกันติพัฒน์ ยังคงแนะนำว่า นักลงทุนควรจัดพอร์ตกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก อย่างทองคำ คริปโท อสังหา หรือ รีท รวมถึงลงทุนในหลายๆ ภูมิภาค เพราะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะ สหรัฐ เวียดนาม ไทย เป็นต้น โดยอาจจัดเป็น ตราสารหนี้ 50%, หุ้นต่างประเทศ 20-30%, หุ้นไทย 10%, และ ทองคำ 10%
*เปิดโผกองทุนเด่น
โดยกองทุนที่แนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล อินคัม พลัส ชนิดสะสมผลตอบแทน (TGINC-A) เป็นกองทุนผสม กระจายลงทุนไป ตราสารหนี้, หุ้น และ REIT ซึ่งเหมาะสำหรับ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงระดับกลาง เน้นกระจายการลงทุนใน 3สินทรัพย์ที่มีการจ่ายดอกเบี้ย/ปันผลที่สม่ำเสมอ มีสัดส่วนลงทุนใน ตราสารหนี้โลก 50%, ตราสารทุนทั่วโลก 30%และ REITsโลก 20%
สำหรับ กองทุนหุ้นโลก มีให้เลือก 4 ธีม โดยธีมแรก หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ทรัมป์ 2.0 ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ Next Generation Internet ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (TNEXTGEN-A), ธีมเทคโนโลยี และ AI แนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้ AI $ Big Data – (TISCOAI), ธีมหุ้นโลกคุณภาพดี (Quality) แนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ควอลิตี้ อิควิตี้ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (TGQUALITY-A) และธีมมตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน (Emerging ex China) แนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอ็กซ์ ไชน่า (TEMxCH)
ส่วนหุ้นไทย แนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ (TSF-A) คัดหุ้นผลดำเนินงานโดดเด่น สม่ำเสมอในระยะยาว สร้างผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง (alpha) อย่างสม่ำเสมอ, ลงทุนเน้นๆ ในหุ้น 10 – 15 ตัว (High Conviction) โดยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ และบริหารจัดการแบบเชิงรุก โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้ระดับราคาที่เหมาะสม