คลังเปิดแพ็คเกจใหญ่ “Quick Big Win” เสาที่ 3 อุ้ม SMEs ไทย 3.27 แสนล้าน

#ทันหุ้น คลังเปิดแพ็คเกจใหญ่ "Quick Big Win" เสาที่ 3 อุ้ม SMEs ไทย 3.27 แสนล้าน ผ่านการเติมสภาพคล่องผ่านซอฟท์โลนออมสิน 1 แสนล้าน ปฏิวัติระบบสินเชื่อเพิ่มระบบค้ำประกันจากบสย. 5 หมื่นล้านและกองทุนธปท. มาตรการภาษีพี่ช่วยน้อง ภาครัฐให้แต้มต่อจัดซื้อ 20% พร้อมคืนภาษี 6 หมื่นล้านใน ธ.ค. นี้
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติแพ็คเกจใหญ่ "Quick Big Win" ซึ่งเป็นเสาหลักที่ 3 ของนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ 1. ช่วยให้ SMEs ไทย ซึ่งคิดเป็นกว่า 90% ของผู้ประกอบการทั้งหมด มีลมหายใจและอยู่รอดในระยะสั้น และ 2. ทำให้ SMEs ยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็งและได้ผลยาว โดยมาตรการนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งการเงิน สถาบันการเงิน การคลัง ภาษี และหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด โดยรวมวงเงินเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนในแพ็คเกจนี้ไว้สูงถึง 3.15 แสนล้านบาท
สำหรับมาตรการแรก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของมาตรการ คือ การเติมสภาพคล่องและปรับลดต้นทุน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของ SMEs ไทยในวันนี้คือการขาดสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อยาก เนื่องจากธนาคารกังวลเรื่องความเสี่ยง ดังนั้น มาตรการจึงเน้นไปที่การเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุน และปรับปรุงระบบนิเวศในการให้สินเชื่อ โดยในด้านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อนั้น รัฐบาลจะใช้กลไกการค้ำประกันเดิมของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)ด้วยวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจะออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้เป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย กำลังออกแบบกองทุนค้ำประกันอีกกองทุนหนึ่งขึ้นมาเสริมกับ บสย. เพื่อทำให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อให้ SMEs มากขึ้น โดยหากเกิดหนี้เสีย ธนาคารสามารถมาเคลมจาก บสย. หรือกองทุนเสริมนี้ได้
ด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือ Soft Loan ธนาคารออมสินจะเป็นฐานหลักในการให้ Soft Loan วงเงิน 1 แสนล้านบาท โดยออมสินจะปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 0.01% ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ทั้งรัฐและเอกชน ธนาคารเหล่านั้นจะนำไปปล่อยกู้ต่อให้ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3.5% วงเงินสินเชื่อทั้งหมดภายใต้มาตรการเติมสภาพคล่องและลดต้นทุนนี้รวมเป็นเงิน 2.17 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งการคืนภาษีเพื่อเติมสภาพคล่องทันที โดยกรมสรรพากรจะเร่งรัดคืนเงินภาษีที่ค้างคืน SMEs โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งวงเงินที่ค้างคืนจะถูกคืนเข้าสู่ระบบทั้งหมด 6 หมื่นล้านบาท ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดย SMEs ที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ประมาณ 2 หมื่นราย จะได้รับเงินส่วนนี้ ซึ่งจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจในไตรมาสนี้ทันที
มาตรการที่ 2 คือ การเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนจะดำเนินการผ่าน 1. โครงการ "พี่ช่วยน้อง" (Supply Chain)โดยใช้กลไกทางภาษีของกรมสรรพากร เพื่อส่งเสริมให้บริษัทขนาดใหญ่ เริ่มต้นจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาช่วย SMEs กล่าวคือ บริษัทใหญ่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการช่วยน้อง โดยเฉพาะการทำระบบดิจิทัล เช่น การออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) มาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า มาตรการนี้จะช่วยให้ SMEs เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้
มาตรการนี้ จะปฏิวัติระบบการเงินด้วยระบบ Prompt Biz โดยเมื่อ SMEs ขายสินค้าให้บริษัทยักษ์ใหญ่และออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ จะนำบิลนั้นไปวางบนระบบ Prompt Biz เพื่อขอสินเชื่อกับธนาคารได้ ระบบนี้จะเปลี่ยนระบบนิเวศการทำงานของ SME เพราะธนาคารจะกล้าปล่อยสินเชื่อให้ SMEs เช่น การให้สินเชื่อแฟคตอริ่ง ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมั่นใจว่าจะมีผู้ชำระเงินให้ SMEs อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้ SMEs เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัล โดยรัฐบาลเล็งเห็นว่า SMEs ขาดเงินทุนในการพัฒนาด้าน AI และ Automation จึงจัดเตรียมเงินสินเชื่อและเงินอุดหนุน (Grant) เพื่อช่วยให้ SMEs ลดต้นทุนและใช้ AI/Automation เงินสินเชื่อจะผ่านทั้งธนาคารรัฐและเอกชน เงินอุดหนุนจะมาจาก สสว. และ BOI ในรูปแบบของเงินสมทบเพื่อการลงทุนวิจัย
ขณะเดียวกัน ยังมีมาตรการสำคัญ คือ การมอบ "แต้มต่อ" ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่ง SMEs ไทยที่ผลิตสินค้าในประเทศและใช้ระบบ E-tax Invoice จะได้รับสิทธิพิเศษรวมสูงสุดถึง 20% นอกจากนี้ มีการปรับปรุงกลไกการชำระเงินเพื่อแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินล่าช้าจากภาครัฐ โดยใช้ E-tax Invoice ร่วมกับระบบ Comp เพื่อให้ SME สามารถเข้าถึงเงินทุนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และสุดท้าย กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามามีบทบาทในการผลักดันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็นการยกระดับระบบการค้าโดยรวมของประเทศต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
