รีเซต

เป็นไปได้ไหม? "พล.อ.ประยุทธ์" หลับมาเป็นนายกฯ ผ่าทางตันการเมืองไทย

เป็นไปได้ไหม? "พล.อ.ประยุทธ์" หลับมาเป็นนายกฯ ผ่าทางตันการเมืองไทย
TNN ช่อง16
2 กันยายน 2568 ( 14:30 )
9

สมการอำนาจการเมืองไทยในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี คนใหม่แทนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  กลายเป็นโจทย์ยากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมือง เมื่อ 2 ขั้วการเมือง คือ พรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย ต่างวัดพลัง เร่งดึง เร่งดูด กลุ่ม ก๊วน พรรคการเมือง มาอยู่ฝั่งตนให้มากที่สุด โดยเฉพาะการเชิญชวนพรรคประชาชน พรรคฝ่ายค้านที่มี สส.ในสภาฯมากที่สุด 143 เสียง 

แน่นอนว่าพรรคประชาชน คือ ตัวแปรสำคัญในการชี้ขาดสมการการเมืองครั้งนี้ แต่การเลือกสนับสนุน 1 พรรค จาก 2 ตัวเลือกที่มีอยู่ คือ โจทย์หินของพรรคประชาชนเช่นกัน 

พรรคประชาชนยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่พรรคเพื่อไทย ฉีก MOU ข้ามขั้วไปจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งปี 2566

พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ยอมรับว่า ไม่ไว้ใจพรรคไหนเลย แต่ต้องประเมินว่า โหวตให้พรรคไหนจะเสียหายน้อยที่สุด  เมื่อท่าทีของพรรคประชาชนออกมาแบบนี้ ประกอบกับความเห็นที่อตกต่างของ สส. รวมถึงกระแสจากผู้สนับสนุนพรรคจำนวนหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พรรคประชาชน “พลาดซ้ำ” 

ความเป็นไปได้ที่ พรรคประชาชนอาจไม่ยกมือเลือกใครเลย จึงอาจเกิดขึ้น 

ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา องคนมตรี และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 จึงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ในสมการการเมืองรอบนี้  



เป็นไปได้แค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯ

พล.อ.ประยุทธ์ ปรากฏขึ้นมาในฐานะ “ทางเลือกที่สาม” เพราะเป็นหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงสามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ หาก 2 ทางเลือกจากเพื่อไทย และ ภูมิใจไทย ไม่สามารถทำได้สำเร็จ    

แต่ความเป็นไปได้นี้ไม่ได้เรียบง่าย เพราะยังมีอุปสรรคด้านข้อกฎหมายและเงื่อนไขทางการเมืองที่ซับซ้อน

ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ซึ่งตามรัฐธรรมนูญและธรรมเนียมการเมืองไทยแล้ว องคมนตรีต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยเด็ดขาด หากจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีก่อน

แต่การสละตำแหน่งองคมนตรี เพื่อมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องใหม่ หากย้อนกลับไปในปี 2550  พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็เคยลาออกจากองคมนตรีเพื่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการรัฐประหาร 2549 โดยพล.อ.สุรยุทธ์ รับเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลเฉพาะกิจ อายุ 1 ปี เพื่อจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2550  

แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็สะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงในระบบการเมืองไทย ดังนั้นหากประยุทธ์ตัดสินใจลาออกเพื่อกลับมาเป็นนายกฯ ก็ถือว่าไม่ขัดกับบรรทัดฐานทางการเมืองในอดีต


อุปสรรค-เงื่อนไข พล.อ.ประยุทธ์ หวนคืนตำแหน่งนายกฯ


แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ แต่ยังมีเรื่องต้องพิจารณาในหลายประเด็นที่อาจจะเป็นอุปสรรค  

1.สมการการรวมเสียง

หาก พล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกฯ จริง เขาต้องได้รับการเสนอชื่อจากพรรคที่มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ เช่น รวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคพันธมิตรอื่น ซึ่งอาจเป็นพรรคเพื่อไทยก็ได้ หากสุดท้ายนายชัยเกษม ไม่ตอบโจทย์การเมืองในห้วงนี้ 

ขณะที่จุดแข็งของการหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อาจช่วยดึง 16 สส.กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ หวนกลับมาร่วมรัฐบาลอีกครั้ง  ซึ่งแม้จะดึงทั้ง 2 กลุ่มกลับมาได้ แต่เสียงสนับสนุนอาจยังไม่พอ จึงจำเป็นต้องกระชับพื้นที่ทาบทามพรรคอื่น ๆ หรือ แม้แต่ต่อรองให้ภูมิใจไทยกลับมาเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง 


2. เงื่อนไขทางกฎหมาย 

กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 88-89 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการเสนอชื่อ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง 

บัญญัติคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของแคนดิเดตนายกฯเอาไว้ว่า  ต้องไม่เป็นข้าราชการ และไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

ซึ่งอาจจะต้องตีความว่า เจ้าหน้าที่รัฐ หมายรวมถึงตำแหน่ง องคมนตรี ด้วยหรือไม่?  สำหรับองคมนตรี ถือเป็นข้าราชการในพระองค์ หรือไม่  ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ประเภทหนึ่งหรือไม่ 

แม้จะมีความเป็นไปได้ในเชิงโครงสร้างทางการเมือง แต่ความเป็นจริงแล้วเส้นทางนี้หวนคืนสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งการถูกตั้งคำถามจากสังคม หรือกระแสต้้านจากพรรคประชาชน 

คำถามว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกฯ จึงไม่มีคำตอบที่ตายตัว หากมองในเชิงกฎหมายและกลไกรัฐธรรมนูญ มันสามารถเกิดขึ้นได้จริง เพียงแต่ต้องแลกด้วยการลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีและการรวบรวมเสียงจากพรรคต่างๆ ให้สำเร็จ 

 แต่หากมองในเชิงการเมืองและสังคม ความเป็นไปได้นี้กลับดูเปราะบางอย่างยิ่ง เพราะสังคมไทยบางส่วนอาจไม่พร้อมยอมรับการสืบทอดอำนาจในรูปแบบเดิมอีกแล้ว

ในที่สุดแล้ว การกลับมาของประยุทธ์อาจเป็นได้เพียงสมมติฐานทางการเมืองที่ถูกหยิบมาใช้ในยามวิกฤต หรือ เป็นการเล่นกับกระแสเพื่อกดดันการเจรจาของสองพรรคใหญ่ มากกว่าจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้ในระยะยาว 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเมืองไทยไม่เคยขาดเรื่องเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจนกว่าจะมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ยังไม่ควรตัดชื่อประยุทธ์ออกจากสมการการเมืองรอบนี้จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง