กรมควบคุมโรค คัดกรองวัณโรคเชิงรุกด้วย AI ในประชากรกลุ่มเสี่ยง

กรมควบคุมโรคนำทีมโดย นายแพทย์นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกับ บุคลากรในพื้นที่จัดกิจกรรมคัดกรองวัณโรคเชิงรุก ร่วมกับ สคร.2, อบจ.เพชรบูรณ์, สสจ.เพชรบูรณ์, เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์, รพ.เพชรบูรณ์ และกองวัณโรค กรมควบคุมโรค ลงพื้นที่คัดกรองวัณโรค เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ด้วยรถเอกซเรย์ดิจิตอลเคลื่อนที่ และเครื่องเอกซเรย์ดิจิตอลเคลื่อนที่แบบพบพา วิเคราะห์ผลด้วยปัญญาประดิษฐ์ (CXR + AI) พร้อมด้วยตรวจเสมหะ ด้วยวิธีอณูชีววิทยา (molecular) ณ จุดบริการ และทราบผลโดยทันที การจัดกิจกรรมคัดกรองวัณโรคครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาวัณโรคเชิงรุกในประชากรกลุ่มเสี่ยง
จากนโยบายหลักของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ด้านการดำเนินงานควบคุมป้องกันวัณโรค เน้นการค้นหาวัณโรคเชิงรุกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) วินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีอณูชีววิทยา (molecular) พร้อมระบบดูแลรักษาให้ผู้ป่วยได้การรักษาครบถ้วนและไม่ขาดยา จากการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกระดับ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินงานควบคุมป้องกันวัณโรคของประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายการลดอัตราป่วย ลดอัตราตาย บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ปี พ.ศ. 2573 และยุทธศาสตร์ยุติวัณโรค (End TB Strategy) ในปี พ.ศ. 2578 ต่อไป
การจัดกิจกรรมคัดกรองวัณโรคเชิงรุกในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2568 ณ หอวัฒนธรรมนครบาลเพชรบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน และอื่น ๆ โดยการนำหน่วยรถเอกซเรย์ดิจิตอลเคลื่อนที่ออกให้บริการ ณ หอวัฒนธรรมนครบาลเพชรบูรณ์ รวมถึงตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงเชิงรุก ด้วยเครื่องเอกซเรย์ดิจิตอลเคลื่อนที่แบบพกพาอีกด้วย โดยมีประชาชนกลุ่มเสี่ยงผู้เข้าร่วมการตรวจคัดกรองกว่า 400 ราย
หลักการทำงานของระบบ CXR + AI
- รับภาพ CXR จากเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลที่ติดตั้งในโรงพยาบาลหรือรถเอกซเรย์เคลื่อนที่
- ส่งภาพเข้าสู่ระบบ AI ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยภาพเอกซเรย์หลายแสนภาพ ซึ่งครอบคลุมทั้งกรณีที่เป็นและไม่เป็นวัณโรค
- AI วิเคราะห์ลักษณะของรอยโรคในปอด เช่น บริเวณทึบแสง (opacity), ลักษณะเป็นโพรง (cavity), หรือความผิดปกติของโครงสร้าง
- ระบบประมวลผลและให้คะแนนความเสี่ยง (TB score) ตั้งแต่ 0 – 100 หรือจัดระดับเป็น “ต่ำ–ปานกลาง–สูง”
- ผลลัพธ์ถูกส่งต่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อพิจารณาตรวจยืนยันเพิ่มเติม เช่น การตรวจเสมหะหรือ GeneXpert
- ข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมเข้าสู่ฐานข้อมูลกลางของกรมควบคุมโรค เพื่อใช้ติดตามและวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา
กรมควบคุมโรค (DDC) เริ่มนำระบบ CXR + AI มาใช้ในโครงการ “การคัดกรองวัณโรคเชิงรุกด้วย AI” ตั้งแต่ปี 2565 โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ต้องขัง, แรงงานต่างด้าว, ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย, และผู้ติดเชื้อ HIV
ระบบ AI ที่ใช้งานจริงในไทยประกอบด้วย
Qure.ai (qXR) – ได้รับการรับรองจาก WHO Prequalification (2023) สำหรับการคัดกรองวัณโรคจากภาพเอกซเรย์
Lunit INSIGHT CXR และ InferRead DR Chest – ใช้ในบางพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน
ผลการประเมินจากกรมควบคุมโรค (2567) พบว่า
- ความไว (Sensitivity) ของ AI อยู่ระหว่าง 90–95%
- ความจำเพาะ (Specificity) ประมาณ 80–85%
- สามารถตรวจพบผู้ป่วยวัณโรคได้เพิ่มขึ้น 15–25% เมื่อเทียบกับการอ่านภาพโดยเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว
- ระยะเวลารู้ผลเบื้องต้นลดจากหลายวันเหลือเพียง 1–2 นาที
ปัจจุบันมีการใช้ระบบนี้แล้วในกว่า 60 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่ระบบสารสนเทศวัณโรคแห่งชาติ (National TB Information Program; NTIP)
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
