UOBAMชี้ดบ.ลงฟันด์โฟลว์เข้า ลุ้นดัชนีปลายปี1,350-1,400จุด

#UOBAM #ทันหุ้น - UOBAM มองดัชนียืน 1,300 จุดได้จะมีโมเมนตัมหนุน SET ปลายปีวิ่งขึ้นในกรอบ 1,350-1,400 จุดได้ ขณะที่ปัจจัยบวกยังมีทั้งเฟดลดดอกเบี้ย ดันฟันด์โฟลว์เข้าไทย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ รวมถึงการเลือกตั้งก็เป็นผลดี ชู 2กองทุนหุ้นไทย TEF และ VFOCUS-D ทำผลตอบแทนย้อนหลังว3เดือนได้กว่า 13%
นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOBAM กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค ทั้ง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น โดยมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์เฟด (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันที่ 17 กันยายนนี้ ซึ่งจะหนุนให้เม็ดเงินฟันด์โฟลด์ไหลออกจากสหรัฐ สะท้อนได้จากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
*ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
“ฟันด์โฟลว์ส่วนหนึ่งไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ทำให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,300 จุด และหากว่าสามารถยืนอยู่ในระดับนี้ต่อได้ จะเป็นโมเมนตัมให้ดัชนีขึ้นมาแตะกรอบ 1,350 – 1,400 จุดได้ในสิ้นปีนี้ จากเงินฟันด์โฟลว์ที่คาดว่าจะเข้ามาอีกในช่วง 4เดือนสุดท้ายราว 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่เข้ามาแล้วราว 3,000 ล้านบาท”
นายณัฐพล กล่าวต่อไปว่า หุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากในประเทศ ทั้งเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเลือกตั้ง ซึ่งในช่วงก่อนการเลือกตั้งดัชนีมักจะปรับตัวขึ้นรับข่าวก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากฟันด์โฟลว์ คือหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 รวมถึง กลุ่มพลังงาน แบงก์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค แต่ในส่วนแบงก์อาจมีปัจจัยดกดันจากการปรับลดดอกเบี้ยที่จะกระทบ NIM แต่กระนั้นด้วยตัวเลือกหุ้นใหญ่ ทำให้เม็ดเงินลงทุนยังคงเข้ากลุ่มนี้
*กองทุนแนะนำ
สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ คือ กองทุนเปิด ไทย อิควิตี้ฟันด์ หรือ TEF โดยกกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี มีแนวโน้มการเจริญเติบโตในอัตราสูง และมีเสถียรภาพทางการเงิน ผลตอบแทนย้อนหลัง3 เดือนอยู่ที่ 13% และกองทุนเปิด ไทย แวลู โฟกัส อิควิตี้ ปันผล หรือ VFOCUS-D เน้นลงทุนในหุ้นปันผล ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 13.17%
ในมุมมองของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดว่า ปีนี้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง และปี 2569 จะปรับลงอีก 2-3 ครั้ง ด้วยเป้าหมายดอกเบี้ยอยู่ที่ 3-3.25% อย่างไรก็ตาม นายณัฐพล มองว่า เฟดมีโอกาสปรับเปลี่ยนมุมมองตลอดเวลา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ยังต้องจับตาดู เช่น ตัวเลขการจ้างงาน เงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐ ซึ่งจะเห็นกระทบชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2568 หรือ ไตรมาส 1/2569
ในส่วนของไทยคาดว่า การประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปีนี้จะเหลือ 2 ครั้ง โดยครั้งที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ผู้ว่าคนใหม่เข้ามาทำงาน คาดว่าจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่จะปรับลดในครั้งถัดไป ดังนั้นประเมินว่า ปีนี้แบงก์ชาติจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง และปีหน้าจะปรับลดราว 2 ครั้งทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.75%
สำหรับมุมมองการจัดพอร์ตกองทุน นายณัฐพล กล่าวว่า แนะนำพอร์ตแบบบาลานซ์รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ราว 6-8% โดยยังให้สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพที่ 60% เน้นตราสารหนี้ที่มีอายุ (Duration) ยาว และอีก 40% ลงทุนในหุ้น โดย 20% แนะนำหุ้นสหรัฐในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นพอร์ตหลัก เพราะเป้นเทรนด์อนาคตที่ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ที่เหลือเป็นพอร์ตรองกระจายลงทุนใน หุ้นจีน อินเดีย และไทย
*มุมมองเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ นายณัฐพล ยังให้มุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่า มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ภายหลังตัวเลขภาษีนำเข้าที่ประเทศสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงกับประเทศต่างๆ ออกมาน้อยกว่าที่ประกาศไว้เดิมกว่าครึ่งนึง รวมถึงผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อซึ่งน้อยกว่าที่คาดไว้มาก
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง (The One Big Beautiful Bill) และแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เพื่อลดความเสี่ยงของการชะลอตัวในตลาดแรงงาน ในขณะที่ผลกำไรของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งจากการลงทุนใน Generative AI ดังนั้น หุ้นสหรัฐจะยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่าจะมีมูลค่าที่แพงกว่าภูมิภาคอื่น แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตได้
สำหรับเศรษฐกิจในยุโรปยังคงมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นภายหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
อย่างต่อเนื่อง และการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัว
ที่ดีอาจทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปมีปริมาณที่ลดลงในช่วงที่เหลือของปี ด้านภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นเดียวกัน โดยประเทศญี่ปุ่นมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับปานกลางจากการบริโภคภายในประเทศ แต่มี
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากตลาดแรงงานที่ตึงตัว ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศจีนยังคงมีความเปราะบางจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ส่งผลให้การประชุมรัฐบาลจีนล่าสุด ยังคงมีความจำเป็นจะต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อตลาดหุ้นจีนและเอเชีย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
