BANPUชูกำไรทุบสถิติ ถ่านหิน-ก๊าซทะยานต่อ
#BANPU #ทันหุ้น - BANPU มั่นใจผลงานไตรมาส 3/2565 พุ่ง หลังธุรกิจแหล่งพลังงานได้รับอานิสงส์ราคาถ่านหิน-ก๊าซทะยานต่อ มองดีมานด์ล้นสวนทางซัพพลายมีจำกัด ถ่านหินราคาปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ยไตรมาส 2 มาก ด้านธุรกิจผลิตไฟฟ้าจ่อปิดดีล 2โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เติมพอร์ต ปักเป้าธุรกิจสมาร์ทเอนเนอร์ยี่โตแรง ลั่น EBITDA ปีนี้จะสูงทำสถิติ
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2565เชื่อว่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ตามพอร์ตของธุรกิจและการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้น และมองว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2565 ที่มีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 1,773 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 60,986 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*ถ่านหิน-ก๊าซพุ่ง
นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากราคาก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหินที่ยังคงมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง ปัจจุบันดีมานด์ทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติยังคงมีการขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ซัพพลายทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติมีอยู่อย่างจำกัด จากทั้งมาตรการควบคุมคุณภาพถ่านหินของจีน รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้มองว่าแหล่งผลิตถ่านหินคุณภาพจำกัด ตลอดจนด้วยปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำจะมีผลอยู่ต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในช่วงไตรมาส 3/2565 นี้จะทรงตัวในระดับสูงต่อไป จากไตรมาส 2/2565อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 156.66ดอลลาร์ต่อตัน และ 6.64 ดอลลาร์ต่อพันลูกบาศก์ฟุต ตามลำดับ โดย ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2565ราคาถ่านหินอ้างอิงตามดัชนีราคาถ่านหิน The Newcastle Export Index (NEX) อยู่ที่ 399.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติอ้างอิงตามดัชนีราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub อยู่ที่ระดับ 8.11 ดอลลาร์ต่อลูกบาศก์ฟุต ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินในไตรมาส 3/2565จะเติบโตใกล้เคียงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ระดับ 7.9 ล้านตัน
**รุกธุรกิจไฟฟ้า
นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า (Energy Generation) บริษัทคาดว่า BPP จะสามารถปิดดีลโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 2 ดีล ใหม่เข้ามาเพิ่ม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า ชูง็อก (Chu Ngoc) และ โครงการ น็อนไห่ (Nhon Hai) ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวมกว่า 65-70 เมกะวัตต์ หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการซื้อขาย จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการลงทุนรวมเกือบ 4,200 เมกะวัตต์ และมั่นใจว่าภายในปี 2568 จะขยายกำลังการผลิตแตะที่ระดับ 5,300 เมกะวัตต์ ได้ตามแผนงาน
ขณะเดียวกันยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หวินเจา ขนาดกำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ที่ปัจจุบันการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อย อยู่ในขั้นตอนของการรอรัฐบาลเวียดนามประกาศใช้แผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 (PDP 8) จึงจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) ได้หลังจากนั้น อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าการ COD จะสามารถเริ่มได้ภายในช่วงที่เหลือของปี 2565 นี้ ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้เพิ่มเติม
ขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) นั้น บริษัทตั้งเป้าธุรกิจโซลาร์ (Solar : Rooftop&Floatin) ในปี 2568 มีกำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 139 เมกะวัตต์ ส่วนธุรกิจ Energy Storage Systems บริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 3 GWh จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 GWh ขณะที่ธุรกิจ e-Mobility ที่เป็นการลงทุนใน UMT, Beyong Green, FOMM, EVolt และ Haupcar นั้น บริษัทตั้งเป้าในปี 2568 จะมีผู้ใช้บริการ 430,000 คนต่อวัน และมียานยนต์ให้บริการรวมทั้งสิ้นมากกว่า 5,500 คัน
รวมถึงจะมีสถานีชาร์จ 2,000 จุด และมีการขาย e-Ferries จำนวน 100 ลำ จากปัจจุบันมีเพียง 1 ลำเท่านั้น ในส่วนของธุรกิจ Smart Cities&Energy MGMT. บริษัทตั้งเป้าจะมีไม่น้อยกว่า 30 โครงการภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีโครงการรวมทั้งสิ้น 21 โครงการ ส่วนธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าเสรี หรือ Energy Trading ตั้งเป้า 2,000 Gwh ในปี 2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 390 GWh เท่านั้น
จากปัจจัยที่กล่าวมาทำให้บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในปี 2565 นี้ จะสามารถเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ หลังจากในช่วงครึ่งแรกปีนี้ที่มีรายได้อยู่ที่ 3,029 ล้านดอลลาร์ เติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 1,543 ล้านดอลลาร์ เติบโตเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าทั้งปีก่อนที่ 1,778 ล้านดอลลาร์จากปัจจัยราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานแบบก้าวกระโดดตามกลยุทธ์ Greener & Smarter
**ศึกษาแร่หายาก
สำหรับการลงทุนในแร่นิกเกิลนั้น ในตอนนี้บริษัทมีส่วนงานทีมศึกษาและหาโอกาสในธุรกิจ STRATEGIC MINERALS (ธุรกิจแร่หายาก) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการศึกษาในพื้นที่หลายแห่งอยู่ แต่ยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในตอนนี้ ด้านแผนการนำบริษัทลูก Shale Gas หรือ BKV Corp เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนั้น เบื้องต้นมองว่ายังคงต้องจับตารอดูภาพรวมความเหมาะสมของตลาดในช่วงนั้นๆ ประกอบกันไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังเตรียมตัวความพร้อมเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม