รีเซต

ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ถล่มฟิลิปปินส์ เร่งอพยพด่วนกว่าแสนชีวิต! เตรียมถล่ม “เวียดนาม” ต่อ 6-7 พ.ย.

ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ถล่มฟิลิปปินส์ เร่งอพยพด่วนกว่าแสนชีวิต! เตรียมถล่ม “เวียดนาม” ต่อ 6-7 พ.ย.
TNN ช่อง16
4 พฤศจิกายน 2568 ( 08:30 )
13

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของฟิลิปปินส์รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นกำลังแรง “คัลแมกี” (Kalmaegi) กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่หมู่เกาะวิซายาสตอนกลาง โดยมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางราว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีลมกระโชกแรงถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สร้างความกังวลว่าอาจก่อให้เกิดน้ำท่วม คลื่นลมแรง และดินถล่มในหลายพื้นที่


เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันภัยพิบัติบนเกาะเลย์เต เปิดเผยว่า มีการอพยพประชาชนในเมือง ปาโล (Palo) และ ตานาอวน (Tanauan) ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ประสบภัยรุนแรงจากซูเปอร์ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน (Haiyan)” เมื่อปี 2556 ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 6,000 ราย และสร้างความเสียหายมหาศาลต่อประเทศ

ขณะเดียวกันบนเกาะ ซามาร์ (Samar) ที่อยู่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ได้อพยพประชาชนตั้งแต่วันอาทิตย์ หลังมีการคาดการณ์ว่าอาจเกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง (storm surge) สูงถึง 3 เมตร โดยบางพื้นที่ต้องใช้มาตรการบังคับอพยพ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน


สำนักงานป้องกันภัยพลเรือนของฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า จนถึงเมื่อวานนี้ มีประชาชนกว่า 156,000 คน ถูกอพยพล่วงหน้าแล้ว เพื่อเตรียมรับมือกับพายุ “คัลแมกี” ที่คาดว่าจะพัดขึ้นฝั่งในช่วงต้นสัปดาห์


ทั้งนี้ เมื่อรวมพายุ “คัลแมกี” แล้ว ฟิลิปปินส์ได้เผชิญพายุครบตามค่าเฉลี่ยประจำปี และมีแนวโน้มว่าจะเกิดพายุเพิ่มอีก 3–5 ลูก ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ โดยฟิลิปปินส์ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญพายุหมุนเขตร้อนบ่อยที่สุดในโลก เฉลี่ยปีละประมาณ 20 ลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะพัดถล่มพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ

ด้านกรมอุตุนิยวิทยาของประเทศไทยรายงานว่า หลังพายุ “คัลแมกี” เคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ ก็มีแนวโน้มจะเคลื่อนลงทะเลจีนใต้ตอนกลาง ในช่วงวันที่ 4–5 พ.ย. คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในช่วงวันที่ 6–7 พ.ย. หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ และสลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงก่อนเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยจะเริ่มทางภาคอีสานก่อน (จ.อุบลราชธานี) ในวันที่ 7 พ.ย.68 ซึ่งจะทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่บริเวณภาคอีสาน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในวันถัดไป โดยจะยังต้องติดตามและประเมินเป็นระยะๆ เนื่องจากทิศทางและกำลังของพายุยังมีเปลี่ยนแปลง


นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ความรุนแรงและความถี่ของพายุในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ ลานีญา (La Niña) ซึ่งเป็นภาวะอากาศตามธรรมชาติที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกเย็นลง มักส่งผลให้เกิดพายุหมุนเขตร้อนรุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้นในภูมิภาคนี้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง