BTS ลั่นกำเงินสดเต็มมือ รับพร้อมลงทุน-คืนหนี้

#BTS #ทันหุ้น - BTS รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถจาก กทม. 36,000 ล้านบาท เร่งเคลียร์หนี้ครบกำหนด 15,000 ล้านบาท ลดอัตราหนี้สินต่อทุนเหลือราว 1 เท่า ที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต ด้าน “คีรี กาญจนพาสน์” หนุนรัฐซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มผู้โดยสารราว 50% จากปัจจุบัน 2 ล้านคนต่อวัน พร้อมเดินหน้าโครงการเมืองการบินอู่ตะเภา คาดชัดเจนผลประโยชน์กลุ่มลงทุนภายในธันวาคม 2568
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยภายหลังได้รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นจำนวน 36,000 ล้านบาท เมื่อ 30 ตุลาคม 2568 ว่า บริษัทจะนำเงินดังกล่าวไปชำระหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ 15,000 ล้านบาท สำหรับเงินราว 20,000 ล้านบาท จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และพิจารณาลงทุนในอนาคต ซึ่งการชำระหนี้ในครั้งนี้ จะช่วยให้สถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดจาก 1.39 เท่า เหลือเพียงประมาณ 1 เท่า หนุนศักยภาพการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานระยะต่อไป
พร้อมกันนี้ บริษัทและกทม.ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันในการป้องกันการเกิดกรณีพิพาทในอนาคต โดยกำหนดให้บริษัทวางบิลค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (O&M) ในวันที่ 3 ของทุกเดือน และกทม.จะชำระเงินภายในวันที่ 20 ของเดือนเดียวกัน โดยมีอัตราค่าจ้างเดินรถราว 740 ล้านบาทต่อเดือน ครอบคลุมส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว
“เงินจำนวน 36,000 ล้านบาท มีส่วนของอัตราดอกเบี้ยราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งแม้จะครอบคลุมภาระอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัท แต่ด้วยระยะเวลาที่เนิ่นนานทำให้บริษัทศูนย์เสียโอกาสในการลงทุนโครงการใหม่ๆ หลายโครงการ ดังนั้นบริษัทจึงทำข้อตกลงร่วมกับกทม.เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดกรณีซ้ำรอยเดิมอีก”
หนุนรัฐซื้อคืนสัมปทาน
นายคีรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายซื้อสัมปทานเดินรถไฟฟ้าจากภาคเอกชนเพื่อควบคุมเพดานค่าโดยสาร ว่า เป็นนโยบายที่ประโยชน์ต่อประชาชน เบื้องต้นคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าขึ้นอีกราว 50% จากปัจจุบันที่มีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายรวมกันประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน
ปัจจุบันบริษัทมีระยะเวลาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก (หมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) จะสิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2572 หลังจากสิ้นสุดสัญญาสัมปทานแล้วบริษัทจะยังคงมีสัญญาจ้างเดินรถและบำรุงรักษา (O&M) ทั้งเส้นทางหลักและส่วนต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง, สะพานตากสิน-บางหว้า, แบริ่ง-สมุทรปราการ, หมอชิต-คูคต) ไปจนถึงปี พ.ศ. 2585 ที่ค่าจ้างเฉลี่ยราว 1.3 – 1.4 พันล้านบาทต่อเดือน รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 17 ปี
“บริษัทพร้อมร่วมเจรจา สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากมีการซื้อคืนรัฐบาลต้องซื้อจากกองทุนฯ ผ่านบริษัท ดังนั้นเบื้องต้น บริษัทต้องได้เม็ดเงินที่ลงทุนไปกว่า 50,000 ล้านบาทกลับมาตามสัดส่วนสัญญาที่เหลือเวลาอยู่ เพื่อนำเงินไปลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งของประเทศต่อไป”
ย้ำชัดพร้อมลงทุนอู่ตะเภา
ในส่วนของโครงการเมืองการบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุน 3 บริษัทในนามบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องผลประโยชน์ที่บริษัทและกลุ่มผู้ลงทุนจะได้รับ ภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้
“โครงการสนามบินอาจมีการปรับขนาดให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและการขยายตัวของสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินยังอยู่ระหว่างการดำเนินการและยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจน แต่บีทีเอสยังคงยืนยันเดินหน้าเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นในที่สุด”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
