รีเซต

โค้งสุดท้าย ประชันวิสัยทัศน์ "ดร.เอ้ สุชัชวีร์" ต้องเปลี่ยน กทม.ให้เป็นเมืองทันสมัย!

โค้งสุดท้าย ประชันวิสัยทัศน์ "ดร.เอ้ สุชัชวีร์" ต้องเปลี่ยน กทม.ให้เป็นเมืองทันสมัย!
TNN ช่อง16
15 พฤษภาคม 2565 ( 12:40 )
73
โค้งสุดท้าย ประชันวิสัยทัศน์ "ดร.เอ้ สุชัชวีร์" ต้องเปลี่ยน กทม.ให้เป็นเมืองทันสมัย!

"ผมจะไปจัดการปัญหาโควิด เป็นอันดับแรก ให้พร้อมกับการเปิดกรุงเทพฯ ปรับแผนใหม่ทั้งหมด เรียกคืนโอกาสทางการศึกษาให้เด็กพร้อมสู่โลกอนาคต" ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ ผ่านรายการ "โค้งสุดท้าย ประชันวิสัยทัศน์" ทาง TNN ช่อง 16 เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2565 เวลา 20.30 น. ใน 4 หัวข้อ ดังนี้

ทำไมคน กทม. ต้องเลือกคุณ?

ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า เหตุผลที่พี่น้องประชาชนต้องกาเบอร์ 4 มาจาก 4 ข้อดังนี้

1.มาพร้อมหลักวิชาการ ความรู้ ชัดเจน 

2.ทำมาแล้วทุกอย่าง วิศวกรรม งานช่าง ปัญหากรุงเทพฯ ฝนตก รถติด ฝุ่นพิษ ทางเท้าพัง ดังนั้น คนกทม.ต้องได้คนที่มีความรู้ ด้านวิศวกรรมจริงๆ เพราะหากซ่อมไม่ถูกจุด ภาษีของประชาชนจะถูกเสียไปจากผู้ว่าฯ กทม.ที่ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้

นอกจากนี้ ยังได้ใกล้ชิดกับงานด้านการศึกษามาทั้งชีวิต ดังนั้น การศึกษาจะต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ถ้ามีผู้ว่าฯ กทม. ที่ชื่อ "ดร.เอ้" จะทำการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่กทม.ให้ดีเหมือนกับประเทศอื่นๆ ให้ได้

ขณะเดียวกัน ยังเคยสร้าง รพ.พระจอมเกล้าฯ เพื่อช่วยประชาชน ซึ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ทั้งชีวิต เป็นงานถนัด เพราะกทม.ใช้งานช่าง ศึกษา สาธารณสุข ที่สำคัญยังเคยผ่านงานในองค์กรที่เกิดวิกฤตมาแล้ว

3.ประกาศวิสัยทัศน์ชัด ต้องเปลี่ยน กทม.ให้เป็นเมืองสวัสดิการที่ "ทันสมัย" ต้นแบบอาเซียนให้ได้ 

4.การเป็นผู้ว่าฯ กทม.นั้น ต้องใช้พลังมากๆ ทั้งพลังกาย ใจ สติปัญญา ตนมีพลังพร้อม เพราะปัญหา กทม.หนักหนาสาหัส ไม่ใช่พลังของตนคนเดียว และตนคงทำคนเดียวไม่สำเร็จ ดังนั้น ตนมีทีมผู้สมัคร ส.ก. 50 คน 50 เขต ที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมที่จะช่วยกันทำงานตามนโยบายให้สำเร็จ

นโยบาย 4 เรื่องที่ผู้ว่าฯ กทม.ต้องแก้ไข

"ปัญหาน้ำท่วม" 

ถือว่าเป็นงานถนัด เพราะเป็นปัญหาด้านเทคนิค โดยพื้นที่กทม.นั้นเป็นแอ่งกระทะคอนกรีตสมบูรณ์แบบ โดยใช้ระบบปั๊มจากบ้านไปซอย จากซอยขึ้นถนน จากถนนไปคลอง จากคลองไปแม่น้ำเจ้าพระยา กทม.อยู่ได้ด้วยระบบปั๊มสูบขึ้นไป แสดงว่าการจะต่อสู้กับน้ำท่วมต้องแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้

- ระยะสั้น กทม.จะต้องเป็นเมืองสุดท้ายที่ใช้คน เปิด-ปิดประตูน้ำ ซึ่งตรงนี้สามารถปรับให้เป็นปั๊มไฟฟ้า ใช้ระบบอัตโนมัติ ให้การเปิดปิดประตูระบายน้ำสอดคล้องกับการขึ้นลงของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านเครือข่าย WiFi เพื่อช่วยอำนวยจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วม

- ระยะกลาง เมื่อน้ำท่วมและระบายไม่หมด วิธีการแก้คือ นำน้ำที่เหลือรอระบายให้มาเก็บไว้ใต้ดิน อย่างเขตจตุจักร สุขุมวิท รามคำแหง ซึ่งระดับพื้นถนนแทบจะต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าไม่ทำแก้มลิงก็ยากที่จะแก้ไขได้ ถ้าอยากเห็นตัวอย่าง ลองไปดูที่วัดเล่งเน่ยยี่ทำแล้ว ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น เอกชนก็ทำได้ ต่างประเทศก็ทำแล้ว

- ระยะยาว จัดการน้ำทะเลหนุนเพื่อป้องกันน้ำท่วม 

"ปัญหาขยะมูลฝอย"

บ้านอื่นเมืองที่มีความหนาแน่น ทำไมเขาไม่บ่นเรื่องขยะ ปัจจุบันเราเลือกใช้รถไม่ถูกกับกทม.กระบวนการมันผิดไปหมด "ต้องเข้าให้ถึง เก็บให้ดี "รถที่เหมาะกับกทม.ต้องเป็นขนาดครึ่งตันถึง 1 ตัน ส่วนถังขยะควรเป็นขนาด 660 ลิตร หรือถังเหล็ก ขนาด 1 ตัน โดยเอาถังใหม่ที่ใช้แล้วมาวางเอาถังเก่าออกไป โดยใช้พนักงานแค่คนๆ เดียว

นอกจากนี้ เรื่องข้อบัญญัติก็เช่นกัน ต้องมีความทันสมัย เก็บได้ทุกวัน โดยจะต้องปรับเป็นระบบปิด ไม่เก็บค่าขยะเพิ่มแน่นอน 

"ปัญหาพื้นสีเขียว"

พื้นที่สีเขียว มีเป็นเรื่องที่ดี แต่พื้นที่สีเขียวที่ดีต้องเข้าถึงได้ โดยพื้นที่สีเขียวในกทม.ที่มีอยู่นั้น ต้องซ่อมให้ดีก่อน และสวนสาธารณต้องเปลี่ยนหลอดไฟให้เป็นหลอด LED และระยะเวลาการเปิด-ปิด ต้องปิดให้บริการอย่างน้อย 3 ทุ่มถึงเที่ยงคืน 

ส่วนพื้นที่ว่างเปล่าใต้ทางด่วนนั้น สามารถที่จำทำสนามกีฬาได้ อาจจะไม่ต้องเป็นสีเขียวทั้งหมด เแต่ต้องเป็นพื้นที่ที่สามารถใชงานได้ เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน พื้นที่ส่วนไหนว่างจะเข้าไปปรับปรุง เพื่อให้เข้าถึงได้ ประชาชนสามารถเข้าไปเล่นบาสเกตบอล เล่นฟุตบอล ได้ตลอด 24 ชม. โดยจะต้องทำให้ปลอดภัย มีกล้อง CCTV Wifi ดูผ่านออนไลน์ได้ จึงจะเป็นพื้นที่สีเขียวและเข้าถึงได้เท่าเทียมกัน และสุดท้ายร่วมมือกับเอกชน

"พื้นที่สีเขียวในกทม.ที่มีอยู่ ผมจะปรับปรุงให้เข้าถึงได้ ติดไฟสว่าง ติดกล้องวงจรปิดเพิ่มความปลอดภัย ส่วนพื้นที่ว่างเปล่า จะปรับให้สามารถใช้งานได้ 24 ชม. และร่วมมือกับเอกชน แบบนี้ถึงจะเป็นพื้นที่สาธารณะใช้งานได้กับทุกคน" ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

"ปัญหาชุมชนแออัด"

เน้นเรื่องเทคโนโลยีดูแลชีวิตคนในชุมชนแออัดในเรื่องการศึกษา การสาธารณสุข โดยตนได้ลงพื้นที่ครบทั้ง 50 เขตแล้ว ต้องบอกว่าคนใน กทม.ยังยากจนอยู่ ดังนั้น จะต้องทำให้ชีวิตพวกเขาเหล่านี้ดีขึ้น

สำหรับปัญหาของครอบครัวเหล่านี้ คือ "การศึกษา" ตั้งใจว่าศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ฟรี จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด จะรองรับช่วยเหลือเด็กๆ จากครอบครัวในชุมชนแออัด ทำให้คนกลุ่มนี้ มีชีวิตดีขึ้น ตนอยากเห็นเด็กในชุมชนสามารถเรียนจนจบด็อกเตอร์ได้

ส่วนด้าน "สาธารณสุข" จะต้องเข้าถึงการรักษา โดยศูนย์บริการสาธารณสุขจะต้องมีแพทย์ มีอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเพียงพอและพร้อมให้การช่วยเหลือ

นอกจากนี้ เครือข่าย WiFi ติดต่อโลกภายนอกกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน ในชุมชนแออัดยังน่าเป็นห่วงเรื่องของความปลอดภัย โดยก่อนหน้านี้ ได้เข้าไปติดตั้งเสา 4 มิติในชุมชนตรอกเป็ด ซอยพิพัฒน์ 2 ซึ่งมีไฟ LED ส่องสว่าง และเป็นจุดปล่อย WiFi ตามนโยบายอินเตอร์เน็ตฟรี รวมทั้งกล้อง CCTV WiFi ซึ่งออนไลน์ 24 ชม.

คุณจะทำอะไรใน 100 วันแรกหลังรับตำแหน่ง?

ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวอย่างมั่นใจว่า วันแรกจะไม่เห็นตนนั่งโต๊ะทำงานในกทม.แน่นอน โดยวันแรกตนจะลงไปกระชับการทำงานเร่งด่วนเรื่องโควิด-19 เพื่อให้พร้อมกับการเปิด กทม.เพราะแผนการทำงานแบบเดิมใช้ไม่ได้แล้ว ต้องปรับใหม่ให้รวดเร็วไม่ล่าช้า อะไรที่ขาดจะเติมเข้าไป เพื่อพร้อมเปิด กทม. เปิดโรงเรียน เพราะเด็กนักเรียนเสียโอกาสไป 2 ปีแล้ว ดังนั้น เมื่อเปิดเรียนได้แล้วต้องทำให้ดีกว่าเดิม 

ขณะเดียวกัน หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประชาชนล้มระเนระนาด ดังนั้น สิ่งใดที่จะช่วยเยียวยาได้ สนับสนุนได้ ผู้ว่าฯ กทม.ต้องรีบทำ ตนจะหาแหล่งเงินกู้ให้ประชาชน โดยเฉพาะรายเล็กที่ลำบากมาก จุดไหนผ่อนผันให้ทำการค้าขายได้อย่างตลาดนัด ซึ่งเป็นห่วงโซ่สำคัญก็ต้องช่วยกัน 

ส่วนในเรื่องของการจัดการปัญหาน้ำท่วม ตนมองว่าใครๆ ก็พูดได้ แต่ใครที่ทำได้จริงให้เลือก "สุชัชวีร์" ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ 

นอกจากนี้ ใน 100 วันแรกจะเห็นการติดตั้งอินเตอร์เน็ตฟรี ให้เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชนให้ได้ เชื่อว่าจะทำให้คนกทม.รู้สึกเหมือน "เกิดใหม่"

"สมาร์ทซิตี้" คืออะไรในใจผู้สมัครฯ และต้องทำอย่างไรให้ไปถึงจุดนั้น?

ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า จุดประสงค์ของทุกเมืองคือการนำเทคโนโลยีมาทำให้ประชาชนมีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น และความสุขของประชาชนในทุกๆ เมือง คือ 2 เรื่อง ได้แก่ "ความปลอดภัย" และ "เวลา" ต้องคืนให้กับประชาชน

ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้ กทม.เป็นสมาร์ทซิตี้ ต้องใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ใช้ฟรี เป็นจุดเปลี่ยนของ กทม.โดยทุกๆ เมืองใช้ CCTV ผ่านระบบ WiFi ที่ออนไลน์ 24 ชม.ไม่ต้องเดินสายให้ยุ่งยาก จะมาช่วยเรื่องความปลอดภัย 

ส่วนเรื่องเวลา ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานเขตหากมีผู้ว่าฯ ชื่อ "สุชัชวีร์" แม้กระทั่งปัญหาการขอใบอนุญาตสามารถทำผ่านเครือข่ายออนไลน์ ลดการคอรัปชั่น ดังนั้น อินเตอร์เน็ตฟรีต้องเริ่มต้นก่อน

"ต้องเปลี่ยน กทม.ให้เป็นเมืองที่ทันสมัย ผู้ว่าฯ มาคนเดียวทำงานไม่ได้ วันนี้ผมมาพร้อมทีม ส.ก.ทั้ง 50 เขต พร้อมความมุ่งมั่น พลังที่ทุ่มมาแก้ปัญหา พร้อมประสบการณ์ ถนัดในงานที่เกี่ยวข้องกับ กทม.ทุกด้าน ขอฝากเบอร์ 4 ไว้กับพี่น้องประชาชนด้วยครับ" ศ.ดร.สุชัชวีร์ ฝากทิ้งท้ายถึงผู้มีสิทธิ์ในการไปลงคะแนน 


สามารถรับชมเทปบันทึกออกอากาศทาง TNN ช่อง 16 ในวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม เวลา 15.30-17.00 น.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง