รีเซต

KTBST เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์ จากเงินบาทอ่อนค่า

KTBST เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์ จากเงินบาทอ่อนค่า
ทันหุ้น
25 เมษายน 2565 ( 10:40 )
142

#เงินบาท #ทันหุ้น - บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ปัจจุบัน (25/04/22) ค่าเงินบาทแตะระดับที่ 34.00 THB/USD กลับมาอ่อนค่าราว -6% จากที่มีการแข็งค่ามากสุดในช่วงกลางเดือน ก.พ. 22 ที่ราว 32.15 THB/USD นับเป็นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ ในรอบ 5 ปีตั้งแต่ช่วง เม.ย. 2017 จากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีแนวโน้มเร็วและรุนแรงกว่าคาดจากภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงของสหรัฐ และมาตรการ quantitativetightening (QT) รวมถึงในช่วงระยะสั้นที่ผ่านมามีการไหลออกของ fund flow จากเข้าสู่ช่วงการจ่ายปันผลของบริษัทในตลาดหุ้นไทย

 

มุมองของ KTBST มองว่าแนวโน้มระยะสั้นค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่องไปแตะระดับ 34.46 THB/USD ก่อนการประชุม FOMC ในวันที่ 4 พ.ค. 22 แต่มองว่าถ้าหลังจากการประชุม FOMC แล้ว US 10Y bond yield ทำจุดสูงสุดแล้วเริ่มปรับตัวลง เงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง 

 

อย่างไรก็ตามหาก US 10Y bond yield ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และระดับดอกเบี้ยสหรัฐฯ ณ สิ้นปีอยู่ที่ 3% คาดว่า US 10Y bond yield จะไปแตะระดับ 3.57%-4.00% ซึ่งทาให้ให้ค่าเงินมีโอกาสไปแตะระดับต่อ 35.82 THB/USD จึงแนะนำเข้า “ซื้อเก็งกาไร” จากหุ้นที่ได้ประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าวและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ทั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้น/อุตสาหกรรมที่เราจัดทาบทวิเคราะห์ ดังนี้ หุ้นที่น่าสนใจจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า :ชอบหุ้นมีแนมโน้มผลการดาเนินงานเติบโตดี จากปัจจัยเฉพาะตัว และมี upside จากค่าเงินบาทอ่อนค่า รวมถึงราคาหุ้นยังมี upside เรียงตามระดับความสัมพันธ์กับค่าเงินบาทอ่อนค่า (correlation > 0) โดยหุ้นที่แนะนำ คือ

 

1. ASIAN (ซื้อ/เป้า 21.00 บาท) : มีรายได้จากการส่งออก 80% และแนวโน้มกำไรสุทธิในช่วง Q1/65E ยังเติบโตดี YoY

2. SUN (ซื้อ/เป้า 10.70 บาท) : มีรายได้จากการส่งออกที่ 82% ของรายได้รวม

3. SMPC (ซื้อ/เป้า 12.00 บาท) : กำไรสุทธิ Q1/65 จะเติบโต YoY ได้ดี ตามทิศทางยอดส่งออกถังแก๊สของไทยเดือน ม.ค.-ก.พ.65 ที่เติบโต 50% YoY

 

ทั้งนี้ในรอบนี้ ฝ่ายวิจัยไม่เลือกหุ้นกลุ่ม Electronic เข้ามาแม้ว่าจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า เนื่องจาก คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานใน Q1/65 ไม่ค่อยน่าสนใจ และราคาหุ้นถูกกดดันจากการปรับตัวของของราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีโลก จากดอกเบี้ยขาขึ้น

 

( + ) สำหรับหุ้น/อุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทอ่อนค่า” 

 

1) กลุ่มอิเลกทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น จะมีผลทำให้กำไรเพิ่มขึ้น KCE +6% และ HANA +5%

 

2) กลุ่มอาหาร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น SUN +8%,TU +3%, CPF +5%, ASIAN +5%, GFPT +2%

 

3) กลุ่มเกษตร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น STA +6%, NER +3%, GFPT +2%

 

4) อุตสาหกรรมอื่น ที่ได้ผลกระทบเชิงบวกจากค่าเงินบาทอ่อน เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ SMPC ประเมินทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่าทำให้กำไรเพิ่มขึ้น +8-10% MEGA ประเมินทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่าทำให้กำไรเพิ่มขึ้น +8% EPG ประเมินทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่าทำให้กำไรเพิ่มขึ้น +3%-4%

 

( - ) ส่วนหุ้น/อุตสาหกรรม ที่ที่คาดว่าจะได้รับผลลบจาก “ค่าเงินบาทอ่อนค่า”

 

1) กลุ่มสายการบิน THAI, AAV, BA มีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ราว 60% ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น

 

2) กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี negative net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาท ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fx loss สำหรับ PTTGC TOP IVL ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ USD เป็น functional currency

 

3) กลุ่มโรงไฟฟ้ า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้มีการบันทึก unrealized fx loss เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด ทั้งนี้หุ้นที่มี impact จากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC, RATCH,GUNKUL

 

4) อื่นๆ

TVO จะทำให้ต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น (บริษัทนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศราว 75-80%) ทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่า จะทำให้กำไรลดลงประมาณ -3%

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง