PTT กำไรแรงเสี่ยงต่ำ น่าสะสมแจกปันผลค้ำ
ทันหุ้น - วิเคราะห์ผลงาน PTT ไตรมาส 2/2564 โบรกคาดมีกำไร 2.5 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 114%จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น แต่อ่อนตัวจากไตรมาสแรก เพราะบริษัทลูกมีกำไรสต๊อกลดลง ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/2564คาดจะอ่อนตัวลง จากการปิดซ่อมบำรุง และผลกระทบจากการล็อกดาวน์ มองราคาหุ้น Laggard และอัตราการจ่ายเงินปันผลยังน่าสนใจที่ 4.9%บริษัทเตรียมจะประกาศงบในวันที่ 11 สิงหาคมนี้
บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุถึง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ว่า จะมีกำไรไตรมาส 2/2564อยู่ที่ 25,749 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114%จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากภาคการผลิตในประเทศกลับมาฟื้นตัว จากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐที่ผ่อนคลาย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตามกำไรไตรมาส 2/2564 หากเทียบกับไตรมาส 1/2564จะลดลง 21% แม้ว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ PTT ยังคงปรับเพิ่ม แต่ถูกลดทอนด้วยการรับรู้กำไรจากบริษัทในกลุ่มที่ลดลง ทั้งจากกลุ่มธุรกิจผลิตและสำรวจปิโตรเลียม และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลง จากผลการรับรู้กำไรสต๊อกที่ลดลง
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/2564 คาดว่ากำไรจะลดลงจากไตรมาส 2/2564 เนื่องจากยอดขายก๊าซที่เป็นโลว์ซีซันของภาคการผลิตไฟฟ้า ขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินที่หยุดผลิตในช่วงไตรมาส 2/2564ปัจจุบันกลับมาดำเนินการผลิตเป็นปกติ, รายได้จากธุรกิจโรงแยกก๊าซที่ลดลง จากราคาขายผลิตภัณฑ์หลักที่อ่อนตัว และกำลังการผลิตคาดว่าจะลดลง จากแผนหยุดซ่อมโรงแยกก๊าซ หน่วยผลิตที่ 3 จำนวน 7 วัน และหน่วยที่ 6 จำนวน 26วัน ขณะที่การรับรู้กำไรจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลง ตามแนวโน้มมาร์จิ้น และการรับรู้กำไรจากสต๊อกที่ลดลง
*มองราคาหุ้น Laggard
ทั้งนี้มองว่าราคาหุ้น PTT ได้ปรับตัวลงกว่า 12.5% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งได้สะท้อนถึงแนวโน้มผลประกอบการที่มีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องถึงไตรมาส 3/2564 ทำให้ราคาหุ้นค่อนข้าง Laggard จึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีต่อการเข้าลงทุนระยะยาว เพราะที่ผ่านมา PTT มีการขยายการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจเกี่ยวกับเวชภัณฑ์ และธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Car
โดยมองว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า เป็นการตอบรับมาตรการของภาครัฐในระยะยาว รวมทั้งรองรับการเปลี่ยนแปลงการใช้เชื้อเพลิงในอนาคต และสามารถต่อยอดธุรกิจในกลุ่ม PTT ด้านยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ร่วมกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ทำธุรกิจแบตเตอรี และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ทำธุรกิจสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 48 บาทต่อหุ้น
*คาดปีนี้มีอัตราปันผล 4.9%
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ หุ้น PTT โดยให้ราคาเป้าหมายของปี 2565 ที่ 54 บาทต่อหุ้น มองว่าเป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปีนี้ที่น่าสนใจระดับ 4.9% ขณะเดียวกันคาดไตรมาส 2/2564 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.57 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 21% จากไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากธุรกิจก๊าซ และบริษัทลูกในตลาดหลักทรัพย์ ยกเว้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดว่ากำไรไตรมาส 2/2564 ของ PTT จะอยู่ที่ 2.54 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และปริมาณขายก๊าซที่เติบโต อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2564 จะลดลง เพราะ PTT มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซ และการล็อกดาวน์ในประเทศ จะกระทบต่อธุรกิจสถานีบริการน้ำมันของ OR กิจการร่วมค้าปิโตรเคมี และโรงกลั่นจะลดลงจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง และค่าการกลั่นอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม แนะนำ ซื้อ หุ้น PTT โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 46 บาทต่อหุ้น มองว่า Valuations มีความน่าสนใจและเป็นหุ้นที่มีกระแสเงินสดที่ดี