เฝ้าระวัง 10 โรคไวรัสอุบัติใหม่ สุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์เฝ้าระวัง 10 โรคไวรัสอุบัติใหม่ สุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า มาสำรวจประเทศที่มีการระบาด (outbreak) ล่าสุดของ 10 โรคไวรัสอุบัติใหม่ (Emerging disease) ที่สุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก (Pandemic):
โรคอุบัติใหม่ คือ โรคที่เพิ่งปรากฏขึ้นในกลุ่มประชากรในภูมิภาคหนึ่ง หรือเคยปรากฏขึ้นมาก่อนแต่เกิดการกลายพันธุ์ระบาดเพิ่มจำนวนขึ้นในพื้นที่เดิม หรือพื้นที่ใหม่ หรือในประเทศใหม่อย่างรวดเร็ว (outbreak) โรคอุบัติใหม่หากเกิดจากเชื้อก่อโรคชนิดใหม่ที่ไม่รู้จักมาก่อนทางองค์การอนามัยโลกจะจัดให้อยู่ในกลุ่มของโรค “เอ็กซ์ (X)”
“โรคเอ็กซ์” เป็นคำที่องค์การอนามัยโลกใช้เพื่ออ้างถึงโรคใหม่ที่สมมุติว่าอาจเกิดขึ้นในอนาคตและทำให้เกิดการระบาดไปทั่วโลกอย่างรุนแรง คำว่า “โรคเอ็กซ์” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยองค์การอนามัยโลกเมื่อปี 2561 โดยเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการเตรียมพร้อมรับมือเชื้อโรคตัวใหม่ที่อาจอุบัติขึ้นในอนาคต (R&D Blueprint for Action to Prevention Epidemics)
โรคอุบัติใหม่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต และยังสามารถส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
ตัวอย่างของโรคอุบัติใหม่ ได้แก่ เอชไอวี/เอดส์ โรคไวรัสอีโบลา โรคซาร์ส ไวรัสซิกา และโควิด-19
จึงจำเป็นต้องติดตาม (monitoring) และศึกษาโรคอุบัติใหม่แต่ละชนิดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เข้าใจถึงแหล่งกำเนิด การเปลี่ยนแปลงของการแพร่เชื้อ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน การวินิจฉัย และการรักษา
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีมีความร่วมมือกับสถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค ในการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสและจุลชีพที่อาจแพร่ระบาดเป็นภัยร้ายแรงต่อประชาชนไทย
สถานที่และเวลาของการระบาดล่าสุดของ "10 โรคไวรัสอุบัติใหม่(Emerging disease) ในปี พ.ศ. 2565-2566
10 โรคไวรัสอุบัติใหม่ (Emerging disease)
1.ไวรัสโคโรนา 2019
เป็นที่น่ายินดีที่ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทยและทั่วโลกลดจำนวนลงอย่างมาก คาดว่าโรคโควิด-19 ในหลายประเทศกำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่สาธารณสุขของแต่ละประเทศควบคุมได้
ข้อมูลจากภาคเอกชนและองค์กรจิตอาสาที่ศูนย์จีโนมฯได้รับ
จ.ภูเก็ต (จากสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง)
ข้อมูลตั้งแต่ 1-9/3/2566
- จำนวนผู้เข้ารับบริการตรวจ RT-PCR ลดลงมากเฉลี่ยวันละประมาณ 2-5 คน
- วัตถุประสงค์ เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ
- ไม่พบผลบวก
สนามบินดอนเมือง
ข้อมูลตั้งแต่ 1-9/3/2566
- จำนวนผู้เข้ารับบริการตรวจ RT-PCR ลดลงมากเฉลี่ยวันละประมาณ 10-15 คน
- วัตถุประสงค์ เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ (จีน, ญี่ปุ่น, อื่นๆ)
- พบผลบวกร้อยละ <0.01%
สนามบินสุวรรณภูมิ
- จำนวนผู้เข้ารับบริการตรวจ RT-PCR ลดลงมาดเฉลี่ยวันละประมาณ 20-40 คน
- วัตถุประสงค์ เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ
- พบผลบวก <2%
ในรายที่ RT-PCR ให้ผลบวกส่วนใหญ่จะมีค่า CT >30 อันหมายถึงมีไวรัสโคโรนา 2019 ในทางเดินหายใจส่วนบนน้อยมาก โอกาสแพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนต่ำ
2. ไข้หวัดใหญ่ A สายพันธุ์ย่อย H3N2
การระบาดล่าสุดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 เกิดขึ้นใน"อินเดีย"ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ H3N2 ทั้งหมด 90 ราย และมีผู้เสียชีวิต 2 รายในรัฐกรณาฏกะและรัฐหรยาณา
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2 ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจทุกปี เป็นที่รู้จักในนามของ "ไข้หวัดฮ่องกง" มีอาการ หวัด ไอ เจ็บคอ มีไข้ อาเจียน และท้องเสีย
สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ด้วยการฉีดวัคซีน ดูแลสุขอนามัย และการเว้นระยะห่างทางสังคม
3. ไวรัสอีโบลา
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสอีโบลาเกิดขึ้นใน"ยูกันดา"ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 การระบาดเกิดจากอีโบลาสายพันธุ์ซูดาน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 55 คน จากผู้ติดเชื้อ 142 คน การระบาดของโรคนี้ประกาศยุติเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2566 หลังจาก 42 วันผ่านไป ไม่มีรายงานผู้ป่วย
ยูกันดาได้รับวัคซีนป้องกันอีโบลากว่า 5,000 โดสมาทดสอบเพื่อใช้เพื่อป้องกันการระบาด องค์การอนามัยโลกยกย่องยูกันดาที่สำหรับการตอบสนองและมีการเตรียมพร้อมที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกได้เตือนว่าการระบาดของอีโบลาครั้งต่อไปนั้น "ไม่ใช่ประเด็นที่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ประเด็นที่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร และกระตุ้นให้มีการลงทุนในระบบสาธารณสุขและการเฝ้าระวังให้มากขึ้น
4. ไวรัสซิกา
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสซิกาเกิดขึ้นใน"อินเดีย"ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 มีรายงานการระบาดในรัฐเกรละ ซึ่งมีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสซิกา 63 ราย
ไวรัสซิกาเป็นไวรัสที่มียุงเป็นพาหะซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้ซิกา ซึ่งเป็นอาการป่วยเล็กน้อยที่มีอาการ เช่น ผื่น มีไข้ ปวดข้อ และตาแดง อย่างไรก็ตามไวรัสซิกายังสามารถทำให้เกิดข้อบกพร่องที่รุนแรงต่อทารกในครรภ์ เช่น ศีรษะเล็กผิดปกติและความเสียหายของสมองในทารกที่มารดาติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์
ไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะสำหรับไวรัสซิกา และการป้องกันขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด การใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจคัดกรองเลือดของผู้บริจาค (ที่ติดเชื้อไวรัสซิกา)
5. เมอร์ส-โควี
การระบาดครั้งล่าสุดของ MERS-CoV เกิดขึ้นใน"ซาอุดีอาระเบีย"ในเดือนมกราคม 2566 มีรายงานการระบาดในเมืองริยาด ซึ่งมีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อ MERS-CoV 12 ราย MERS-CoV เป็นไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการทางเดินหายใจในผู้ติดเชื้อที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ซึ่งเป็นโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรงที่มีอาการ เช่น มีไข้ ไอ หายใจถี่ และปอดบวม MERS-CoV นั้นติดต่อจากอูฐหนอกที่เป็นรังโรคมายังมนุษย์ที่สัมผัสเชื้อ และยังสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างคนสู่คน
ไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะสำหรับ MERS-CoV และการป้องกันคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอูฐ รักษาสุขอนามัยที่ดี และบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ติดเชื้อต้องสวมหน้ากากและถุงมือ
6.ไวรัสนิปาห์
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสนิปาห์เกิดขึ้นใน"อินเดีย"ในเดือนกันยายน 2564 มีรายงานการระบาดในรัฐเกรละ ซึ่งมีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสนิปาห์ 12 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ไวรัสนิปาห์เป็นไวรัสที่ระบาดจากสัตว์สู่คนที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงที่มีอาการ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน และโคม่า ไวรัสนิปาห์ติดต่อจากค้างคาวผลไม้ที่ติดเชื้อไปยังมนุษย์ และยังสามารถแพร่กระจายผ่านทางอาหารที่ปนเปื้อนหรือสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ
ไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะสำหรับไวรัสนิปาห์ และการป้องกันขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับค้างคาว รักษาสุขอนามัยที่ดี และแยกผู้ป่วยที่สงสัยจากกลุ่มประชากร
7.ไวรัสชิคุนกุนยา
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสชิคุนกุนยาเกิดขึ้นใน"ปารากวัย"ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 มีรายงานการระบาดในเมืองอะซุนซิออง ซึ่งมีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา 2,443 ราย โดยไม่มีผู้เสียชีวิต
ไวรัสชิคุนกุนยาเป็นไวรัสที่มียุงเป็นพาหะซึ่งทำให้เกิดโรคไข้ชิคุนกุนยา ซึ่งเป็นโรคที่มีอาการ เช่น ผื่น มีไข้ และปวดข้ออย่างรุนแรง ซึ่งมักจะเป็นอยู่สามถึงเจ็ดวัน
ไวรัสชิคุนกุนยายังสามารถทำให้เกิดโรคข้ออักเสบเรื้อรังในบางคนได้ ไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะสำหรับไวรัสชิคุนกุนยา การป้องกันขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด ใช้ยาทาไล่ยุง และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
8. ไวรัสฮันตา
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสฮันตาเกิดขึ้นในมลรัฐมิชิแกน "สหรัฐอเมริกา" ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 มีรายงานการระบาดในเทศมณฑล Washtenaw เป็นหญิงติดเชื้อไวรัสขณะเข้าทำความสะอาดบ้านว่างที่มีหนูอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากโดยการสูดดมไวรัส จากอุจจาระ ปัสสาวะหนูที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาระหว่างการล้างทำความสะอาดพื้นที่
ไวรัสฮันตาเป็นไวรัสระบาดจากสัตว์สู่คนที่ทำให้เกิดโรค Hantavirus pulmonary syndrome (HPS) ซึ่งเป็นโรคทางเดินหายใจรุนแรงที่มีอาการ เช่น มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ไอ และหายใจถี่
ไวรัสฮันตาติดต่อระหว่างสัตว์ฟันแทะและแพร่มาสู่คนโดยการหายใจเอาละอองของปัสสาวะ อุจจาระ หรือน้ำลายของหนูเข้าไป ไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะสำหรับฮันตาไวรัส การป้องกันต้องอาศัยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ฟันแทะ ขจัดรังโรค และลดจำนวนสัตว์ฟันแทะในบริเวณดังกล่าว
9.ไวรัสไข้ลาสซา
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสไข้ลาสซาเกิดขึ้นใน"กานา"ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 มีรายงานการระบาดในภูมิภาคโบโน ซึ่งมีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไข้ลาสซา 14 ราย เสียชีวิต 2 ราย ไวรัสไข้ลาสซาเป็นไวรัสระบาดจากสัตว์สู่คนที่ทำให้เกิดโรคไข้ลาสซา ซึ่งเป็นไข้เลือดออกรุนแรงที่มีอาการ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ เลือดออก อาเจียน และท้องเสีย
ไวรัสไข้ลาสซาติดต่อจากสัตว์ฟันแทะสู่คนโดยการสัมผัสกับปัสสาวะหรืออุจจาระของสัตว์ฟันแทะ ไวรัสไข้ลาสซายังสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือเนื้อเยื่อของผู้ติดเชื้อ มียาต้านไวรัสรักษาเป็นการเฉพาะสำหรับไข้ลาสซาที่เรียกว่า “ยาไรบาวิริน”
ซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้หากได้รับเร็วเมื่อเริ่มมีอาการ การป้องกันขึ้นอยู่กับการปรับปรุงสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ฟันแทะ และแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากกลุ่มประชากร
10.ไวรัสมาร์บวร์ก
การระบาดครั้งล่าสุดของไวรัสมาร์บวร์กเกิดขึ้นใน"อิเควทอเรียลกินี"ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 มีรายงานการระบาดในเขต Nsock Nsomo ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 8 ราย ได้รับการยืนยันจาก ผู้ติดเชื้อ 12 รายที่สงสัยว่าติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสที่ระบาดจากสัตว์สู่คนที่ทำให้เกิดโรคไวรัสมาร์บวร์ก(MVD)
ซึ่งเป็นไข้เลือดออกรุนแรงที่มีอาการ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ มีเลือดออก อาเจียน และท้องเสียปนเลือด ไวรัสมาร์บวร์กติดต่อจากค้างคาวผลไม้ที่ติดเชื้อสู่คนโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำลาย หรืออุจจาระของค้างคาว
ไวรัสมาร์บวร์กสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือเนื้อเยื่อของผู้ติดเชื้อ ไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะสำหรับไวรัสมาร์บวร์กการป้องกันต้องอาศัยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับค้างคาวกินผลไม้ บุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน และแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อออกจากกลุ่มประชากร
ข้อมูลจาก ศูนย์จีโนมทางการแพทย์
ภาพจาก AFP