รีเซต

ไข้หวัดใหญ่ แนวโน้มผู้ป่วยยังเพิ่มสูงขึ้น 678,433 ราย เสียชีวิต 75 ราย

ไข้หวัดใหญ่ แนวโน้มผู้ป่วยยังเพิ่มสูงขึ้น 678,433 ราย เสียชีวิต 75 ราย
TNN ช่อง16
15 ตุลาคม 2568 ( 18:34 )
23

วันนี้ (15 ตุลาคม 2568) แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค แถลงข่าวหัวข้อ “ตุลารู้ทัน ป้องกันไว้ ห่างไกลโรคและภัยสุขภาพ” ติดตามสถานการณ์โรคสำคัญ พร้อมแนะประชาชนดูแลตนเอง ป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่พบบ่อยในช่วงนี้

 5 อันดับโรคที่พบผู้ป่วยมากที่สุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วง โรคปอดอักเสบ โรคมือเท้าปาก โรคติดเชื้อไวรัส RSV 

  

5 อันดับโรคที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคปอดอักเสบ โรคเมลิออยโดสิส โรคไข้หวัดใหญ่ โรคเลปโตสไปโรสิส (ไข้ฉี่หนู) โรคไข้เลือดออก 


โรคไข้หวัดใหญ่ แนวโน้มผู้ป่วยยังเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 6 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 678,433 ราย เสียชีวิต 75 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี โดยกลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุดคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิต 72 ราย ไม่มีประวัติรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ส่วนสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในเดือนกันยายนคือ A/H3N2 แนะประชาชนหลีกเลี่ยงที่แออัด ล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัดหรือป่วยเพื่อลดการแพร่เชื้อ และควรแยกตัว ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ


โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) แนวโน้มผู้ป่วยยังอยู่ในระดับสูงและสูงกว่าปี 2567 ในช่วงเวลาเดียวกัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 6 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 25,176 ราย เสียชีวิต 3 ราย เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV มีอาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัด มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ต่อมาอาจมีอาการรุนแรง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดในลำคอ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวโรคปอด โรคหัวใจ โรคติดเชื้อไวรัส RSV ติดต่อได้จากละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV และการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น ฯลฯ โดยเชื้อจะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมง มีระยะฟักตัว 2 – 8 วัน การรักษาเป็นตามอาการ เนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยงและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันในเด็กเล็กและกลุ่มเสี่ยง สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้

      

โรคมือเท้าปาก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 10 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 100,480 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โรคมือเท้าปากเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus ติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระของผู้ป่วย หรือการสัมผัสผ่านของเล่น และจุดสัมผัสร่วมกันที่เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำดื่ม ราวบันได โดยจะมีระยะฟักตัว 3 – 5 วัน หลังได้รับเชื้อ แนะผู้ปกครองสอนเด็กล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน และงดไปสถานที่แออัดในช่วงที่มีการระบาด หากเด็กป่วยควรหยุดเรียนและพบแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ สำหรับสถานศึกษา ควรคัดกรองเด็กนักเรียนก่อนเข้าเรียน แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ 

หากพบเด็กป่วย 2 รายขึ้นไปในห้องเดียวกันภายใน 1 สัปดาห์ ควรปิดห้องเรียนอย่างน้อย 1 วัน เพื่อทำความสะอาดและแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่


 โรคเลปโตสไปโรสิส (ไข้ฉี่หนู) ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพบผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 10 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 3,211 ราย เสียชีวิต 39 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุดคือ 50 – 59 ปี โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ มีประวัติสัมผัสน้ำหรือพื้นดินชื้นแฉะโดยไม่ได้สวมรองเท้าบูทหรืออุปกรณ์ป้องกัน กิจกรรมที่พบ เช่น ลุยน้ำทำนาทำสวน ช่วยชาวบ้านน้ำท่วม เก็บของในบ้านที่มีน้ำขัง หรือแช่น้ำหาปลา เป็นต้น การเข้ารับการรักษาล่าช้าหรือซื้อยากินเอง และผู้ป่วยมีบาดแผลและสัมผัสน้ำโดยตรง ตามลำดับ โรคไข้ฉี่หนูมักเกิดหลังลุยน้ำหรือย่ำดินเปียกที่ปนเปื้อนปัสสาวะหนู แนะประชาชนสวมรองเท้าบูทและถุงมือยางขณะลุยน้ำหรือทำความสะอาดบ้าน ล้างมือ ล้างเท้า อาบน้ำทันที หลังทำความสะอาดบ้านหรือลงแช่น้ำ หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตัว หลังลุยน้ำภายใน 1 – 2 สัปดาห์ ให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการสัมผัสน้ำ

      

โรคไข้เลือดออก มีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงพบผู้ป่วยสูงในภาคเหนือ และยังมีรายงานผู้เสียชีวิตทุกสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 8 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 47,851 ราย เสียชีวิต 53 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเรียน แต่กลุ่มอายุ

ที่เสียชีวิตมากที่สุดคือ 45 ปีขึ้นไป และปัจจัยเสี่ยงคือ มีโรคประจำตัว เข้ารับการรักษาช้า ได้รับยา NSAIDs มีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน และติดสุรา ตามลำดับ


โรคติดเชื้อไวรัสซิกา มีแนวโน้มลดลงและน้อยกว่าปี 2567 ในช่วงเวลาเดียวกัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 8 ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 194 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 25 – 34 ปี ไม่พบผู้เสียชีวิต พบผู้ป่วยอาการอ่อนแรง 1 ราย (Guillain – Barre Syndrome) อายุ 47 ปี โรคติดเชื้อไวรัสซิกามียุงลายเป็นพาหะนำโรค อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เช่น ผื่น ไข้ร่วมกับผื่นแดง ปวดข้อ ปวดศีรษะ ตาแดง และอ่อนเพลีย แต่หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ อาจส่งผลให้ทารกมีภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิด และพัฒนาการผิดปกติ 


 แนะประชาชน ป้องกันยุงกัด นอนในห้องที่มีมุ้งลวด สวมเสื้อผ้ามิดชิด ใช้ยาทากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ทั้งนี้ หากมีไข้สูงมากกว่า 2 วัน รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย มีผื่นจุดแดงขึ้นตามตัว หรือหากมีไข้ร่วมกับผื่น ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ควรรีบไปพบแพทย์ และห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นนอกจากพาราเซตามอล

    

เอชไอวี (HIV) สถานการณ์วินิจฉัยเอชไอวีรายใหม่ ปี 2568 พบผู้ติดเชื้อ 21,618 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 25 – 49 ปี ร้อยละ 96.4 ติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน แนะประชาชนใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทุกครั้ง กับทุกคน ทุกช่องทาง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง หากมีความเสี่ยงควรตรวจหาการติดเชื้อ HIV ควบคู่กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และหากพบการติดเชื้อควรเข้าสู่ระบบรักษาทันที กินยาเร็วและต่อเนื่อง ลดโอกาสเกิดความรุนแรง และการถ่ายทอดเชื้อสู่คู่


 โรคไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง ประมาณ 1.1 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง ประมาณ 2.3 แสนคน โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทั้ง 2 ชนิดถือเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ 70% ผู้ติดเชื้อ

ที่ไม่ตรวจและไม่ได้รักษา มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ แนะผู้ที่มีความเสี่ยงอย่างน้อย 1 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน คนในครอบครัวเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี และ ซี การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือเคยได้รับเลือด สารเลือด ในกรณีโรคไวรัสตับอักเสบบี ผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 รวมถึงผู้ที่มีการปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี พ.ศ. 2535 ควรตรวจคัดกรองและหากพบการติดเชื้อควรเข้าสู่ระบบการรักษาทันที ทั้งนี้ เด็กแรกเกิดทุกรายจะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ฟรี และหญิงตั้งครรภ์ที่พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะได้รับคำแนะนำเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาทันที ฟรี

       

โรควัณโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568 มีผู้ป่วยรายใหม่ที่ขึ้นทะเบียนรักษาวัณโรค 76,654 ราย โดยนโยบายในปี 2569 เร่งรัดคัดกรองค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกที่แปลผลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (CXR+AI) ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิคอณูชีววิทยา เพื่อยืนยันการวินิจฉัยยืนยันการดื้อยาของเชื้อวัณโรคทุกราย กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายหลัก ได้แก่ ผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด ผู้ต้องขังในเรือนจำ และแรงงานข้ามชาติ พร้อมเร่งรัดค้นหาและรักษาผู้ติดเชื้อวัณโรค ระยะแฝง รวมทั้งดูแลติดตามผู้ป่วยให้รับการรักษาครบตามมาตรฐาน เพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน

      

 HPV ปัจจุบันมะเร็งปากมดลูกยังครองอันดับ 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทย พบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 15 คน หรือ 5,422 คนต่อปี และเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 6 คน รวมกว่า 2,238 คนต่อปี ทั้งนี้ การฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวัคซีน HPV จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกในผู้ที่ยังไม่พบเชื้อมาก่อน ประมาณร้อยละ 90 หากมีการติดเชื้อ HPV ก่อนการฉีดวัคซีน ประสิทธิภาพในการป้องกันจะลดลง และผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน HPV ครบถ้วนตามกำหนด ยังจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นระยะและสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน เพราะวัคซีนไม่ได้ครอบคลุมทุกสายพันธุ์

      

 แนะการกินเพื่อสุขภาพ ช่วงเทศกาลกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 – 29 ตุลาคม 2568 ชวนคนไทยเลือกทานอาหารเจให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มผักผลไม้สด ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ และเพิ่มโปรตีนจากถั่วหรือธัญพืช แนะนำเลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด อาหารสำเร็จรูป อาหารที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบสูง ลดของทอด เลือกปรุงเป็นตุ๋น ต้ม นึ่ง และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice) เพื่อสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับการทำบุญ

      

 วันหลอดเลือดสมองโลก จากข้อมูลองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก (World Stroke Organization: WSO) พบว่า ทุก 1 นาที พบประชากรประมาณ 30 คนเกิดหลอดเลือดสมองครั้งแรก และผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คนป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งนี้ ในประเทศไทย ปี 2567 มีผู้ป่วยสะสม 3.6 แสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนะประชาชนควรสังเกตอาการ ตามหลัก B.E.F.A.S.T คือ B-BALANCE = เวียนศีรษะ ทรงตัวไม่ได้ E-EYE = เห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด F-FACE = หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว มุมปากตก A-ARM = แขน ขา อ่อนแรงครึ่งซีก S-SPEECH = พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง และ T-TIME = หากมีอาการ รีบโทร

สายด่วน 1669 และนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดภายใน 4 ชั่วโมง 30 นาที

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง