รีเซต

MEGA ลั่นไตรมาส4 พีค  ทุ่ม 120 ล้านดอลล์ขยาย

MEGA ลั่นไตรมาส4 พีค  ทุ่ม 120 ล้านดอลล์ขยาย
ทันหุ้น
3 ธันวาคม 2568 ( 01:30 )

                นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2568  ปีนี้น่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากปีก่อนฐานยอดขายในเมียนมาต่ำมาก แต่ปีนี้มีสินค้าพร้อมจำหน่ายและสามารถนำเข้าได้มากขึ้น ส่วนในเชิงการเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2568 ที่ผ่านมาก็ยังประเมินจะดีขึ้นเช่นกันตามวัฏจักรปกติตลอด 10 ปีที่ผ่านมาปลายปียอดขายมักจะสูง

@ธุรกิจแข็งแรง

                สำหรับเป้าหมายการเติบโตรายได้ทั้งปี 2568 เน้นในแบรนด์สินค้าหลักคือ Mega We Care อยู่ในช่วง High Single Digit ถึง Low Double Digit หรือประมาณ 9-12% แม้ในปัจจัยภายนอกระดับโลกเผชิญทั้งสงครามในยูเครนและสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมา มีภาวะอุทกภัยในหลายประเทศที่บริษัทดำเนินงานอยู่ เช่น ศรีลังกา อินโดนีเซีย เวียดนาม แต่ผลกระทบต่อยอดขายโดยรวมถือว่าไม่มาก ซึ่งรวมถึงภาคใต้ของไทย

                เนื่องจากยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นดังนั้นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในตลาดๆ จึงไม่ได้รับเต็มที่ดังเช่นธุรกิจสินค้าอื่นโดยทั่วไป โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ยา ส่วนใหญ่ขายในโรงพยาบาลและร้านยา การเติบโตของยาใหม่ๆ สูงกว่ายาเดิม 2. อาหารเสริม/วิตามิน รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ซึ่งมั่นใจจะไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก 

@ เป้าอนาคต

                ทั้งนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกา ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำในตลาด มีสายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง และมีการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต

                สำหรับปี 2569 เป้าหมายเติบโตของแบรนด์หลักจะอยู่ในช่วง 8-12% ส่วนธุรกิจ Max Care ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการกระจายสินค้าในเมียนมาเป็นส่วนที่คาดการณ์ได้ยากเนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก

@ลงทุนหนักขยายฐาน

                ขณะที่ภายใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนลงทุนรวมประมาณ 100-120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายกำลังการผลิตและแบรนด์ในกว่า 30 ประเทศ อีกทั้งยังวิจัยและพัฒนากำหนดงบประมาณไว้ที่ประมาณ 2% ถึง 2.5% ของยอดขายธุรกิจแบรนด์ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2-3% หากต้องมีการซื้อหรือพัฒนายาที่ซับซ้อนและแตกต่าง

                ส่วนการลงทุน อาทิ การขยายโรงงานในเวียดนาม ซึ่งได้รับการอนุมัติและมีการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตแล้ว โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กฎหมายในเวียดนามปัจจุบันสนับสนุนให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถขายสินค้าให้รัฐบาลได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี

                มีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานผลิตในประเทศเมียนมา เพื่อผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยให้การกระจายสินค้าทำได้ง่ายขึ้น ส่วนการเข้าซื้อโรงงานผลิตในอินโดนีเซียทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดเภสัชกรรมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีประชากรมากกว่า 275 ล้านคน  ส่วนในไทย จะลงทุน 10 ล้านบาท สำหรับด้าน ESG ในโรงงานผลิต

 @3 กลยุทธ์หลัก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง