MEGA ลั่นไตรมาส4 พีค ทุ่ม 120 ล้านดอลล์ขยาย

#MEGA #ทันหุ้น - MEGA ชี้ไตรมาส 4 พีคยอดขายเชื่อโตทั้งเทียบปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า มองธุรกิจยาอึดกว่าสินค้าอื่น แบรนด์หลักปีนี้ยังโต 9-12% วาง 3 ปีข้างหน้าทุ่มลงทุนกว่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายฐานและกำลังการผลิต พร้อมรุกฐานกว่า 30 ประเทศ
นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2568 ปีนี้น่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากปีก่อนฐานยอดขายในเมียนมาต่ำมาก แต่ปีนี้มีสินค้าพร้อมจำหน่ายและสามารถนำเข้าได้มากขึ้น ส่วนในเชิงการเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2568 ที่ผ่านมาก็ยังประเมินจะดีขึ้นเช่นกันตามวัฏจักรปกติตลอด 10 ปีที่ผ่านมาปลายปียอดขายมักจะสูง
@ธุรกิจแข็งแรง
สำหรับเป้าหมายการเติบโตรายได้ทั้งปี 2568 เน้นในแบรนด์สินค้าหลักคือ Mega We Care อยู่ในช่วง High Single Digit ถึง Low Double Digit หรือประมาณ 9-12% แม้ในปัจจัยภายนอกระดับโลกเผชิญทั้งสงครามในยูเครนและสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมา มีภาวะอุทกภัยในหลายประเทศที่บริษัทดำเนินงานอยู่ เช่น ศรีลังกา อินโดนีเซีย เวียดนาม แต่ผลกระทบต่อยอดขายโดยรวมถือว่าไม่มาก ซึ่งรวมถึงภาคใต้ของไทย
เนื่องจากยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นดังนั้นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในตลาดๆ จึงไม่ได้รับเต็มที่ดังเช่นธุรกิจสินค้าอื่นโดยทั่วไป โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ยา ส่วนใหญ่ขายในโรงพยาบาลและร้านยา การเติบโตของยาใหม่ๆ สูงกว่ายาเดิม 2. อาหารเสริม/วิตามิน รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ซึ่งมั่นใจจะไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก
@ เป้าอนาคต
ทั้งนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกา ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำในตลาด มีสายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง และมีการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต
สำหรับปี 2569 เป้าหมายเติบโตของแบรนด์หลักจะอยู่ในช่วง 8-12% ส่วนธุรกิจ Max Care ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการกระจายสินค้าในเมียนมาเป็นส่วนที่คาดการณ์ได้ยากเนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก
@ลงทุนหนักขยายฐาน
ขณะที่ภายใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนลงทุนรวมประมาณ 100-120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายกำลังการผลิตและแบรนด์ในกว่า 30 ประเทศ อีกทั้งยังวิจัยและพัฒนากำหนดงบประมาณไว้ที่ประมาณ 2% ถึง 2.5% ของยอดขายธุรกิจแบรนด์ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2-3% หากต้องมีการซื้อหรือพัฒนายาที่ซับซ้อนและแตกต่าง
ส่วนการลงทุน อาทิ การขยายโรงงานในเวียดนาม ซึ่งได้รับการอนุมัติและมีการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตแล้ว โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กฎหมายในเวียดนามปัจจุบันสนับสนุนให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถขายสินค้าให้รัฐบาลได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี
มีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานผลิตในประเทศเมียนมา เพื่อผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยให้การกระจายสินค้าทำได้ง่ายขึ้น ส่วนการเข้าซื้อโรงงานผลิตในอินโดนีเซียทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดเภสัชกรรมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีประชากรมากกว่า 275 ล้านคน ส่วนในไทย จะลงทุน 10 ล้านบาท สำหรับด้าน ESG ในโรงงานผลิต
@3 กลยุทธ์หลัก
การเติบโตในระยะ 5 ปี จะถูกขับเคลื่อนด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้ 1. การลงทุนขยายฐานและกำลังการผลิต เพื่อให้สามารถผลิตและนำเข้าสินค้าได้ง่ายขึ้นและมีสินค้าในตลาดอย่างต่อเนื่อง 2. การวิจัยและพัฒนามุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการจัดหาลิขสิทธิ์ยาใหม่ เน้นในกลุ่มที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ เช่น ยาสำหรับโรคเก๊าท์ และยาที่มีความซับซ้อน (Complex Differentiated Drug) และ 3.การสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในทุกประเทศด้วยการลงลึกในกลุ่มสินค้าที่เชี่ยวชาญและติดตลาดแล้ว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
