สรุป 10 เหตุการณ์สำคัญปี 68 สภาพอากาศโลกและสิ่งแวดล้อม โลกของเรากำลังไปทางไหน?

เมื่อปี พ.ศ. 2568 กำลังจะสิ้นสุดลง เราได้รวบรวมเหตุการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญที่สุดของปี ซึ่งไม่เพียงสะท้อนความรุนแรงของวิกฤตโลกร้อน แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความล่าช้า ความขัดแย้ง และความท้าทายของประชาคมโลกในการรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจัง
1. ปี พ.ศ. 2568 จ่อเป็นปีร้อนเป็นอันดับ 2 ร่วมในประวัติศาสตร์โลก
ข้อมูลจากโครงการสังเกตการณ์โลกของสหภาพยุโรป ระบุว่า ปี พ.ศ. 2568 มีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นปีที่มีอุณหภูมิร้อนเป็นอันดับ 2 หรือ 3 นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลราวปี พ.ศ. 2393 โดยรายงานเดือนธันวาคมของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (C3S) ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี พ.ศ. 2534–2563 อยู่ที่ 0.60 องศาเซลเซียส และสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม (พ.ศ. 2393–2443) ถึง 1.48 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปี พ.ศ. 2566 ที่เคยถูกจัดว่าเป็นปีร้อนเป็นอันดับ 2 ของโลก
ซึ่งการเพิ่มขึ้นของคลื่นความร้อนรุนแรงเป็นผลโดยตรงจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ ซึ่งทำหน้าที่กักเก็บความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้น และทำให้คลื่นความร้อนยาวนานและรุนแรงมากขึ้น และตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ติดต่อกัน โดยปี พ.ศ. 2567 กลายเป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเส้นวิกฤตสำคัญตามข้อตกลงปารีส
2. ข้อตกลง COP30 ไม่กล่าวถึงการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
การประชุม COP30 ต้องเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังข้อตกลงสุดท้ายไม่กล่าวถึงการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนากว่า 80 ประเทศ รวมถึงองค์กรกว่า 100 แห่ง เรียกร้องให้มีแผนงานที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ภายใต้แรงกดดันจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย ประธาน COP30 ได้ประกาศ “แผนการสมัครใจ” ซึ่งอยู่นอกกระบวนการอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ การประชุม COP30 ครั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 56,000 คน นับเป็นการประชุม COP ที่มีผู้เข้าร่วมมากเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ รองจาก COP28 ที่ดูไบ
3. การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก ล้มเหลวเป็นครั้งที่ 2
การประชุมเพื่อจัดทำสนธิสัญญาโลกว่าด้วยการลดมลพิษจากพลาสติก ต้องจบลงโดยไร้ข้อตกลงเป็นครั้งที่ 2 โดยผู้แทนจาก 184 ประเทศประชุมกันที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนสิงหาคม เพื่อหาทางออกร่วมกันในประเด็นการจำกัดการผลิตพลาสติก การจัดการสารเคมีอันตราย และกลไกสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนา
การเจรจาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาล (INC) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามมติสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2565 โดยตั้งเป้าให้มีสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายภายในสิ้นปี พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่ชัดเจนว่าการเจรจาจะเดินหน้าต่อเมื่อใดและในรูปแบบใด
4. ศาลโลกมีคำวินิจฉัยประวัติศาสตร์ คุ้มครองประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
ในเดือนกรกฎาคม ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ออกความเห็นเชิงที่ปรึกษาซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญด้านกฎหมายสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่า การกระทำหรือการเพิกเฉยของรัฐที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ศาลย้ำว่า ประเทศต่าง ๆ มีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และต้องชดเชยความเสียหายให้กับประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คำวินิจฉัยนี้คาดว่าจะจุดชนวนให้เกิดการฟ้องร้องด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
5. ปะการังฟอกขาวกว้างที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ยืนยันว่า โลกกำลังเผชิญกับเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวในวงกว้างที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา โดยพื้นที่แนวปะการังทั่วโลกกว่า 83.7% ในอย่างน้อย 83 ประเทศ ได้รับผลกระทบจากความร้อนในทะเลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ เช่น แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ออสเตรเลีย แคริบเบียน บราซิล ทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย การฟอกขาวของปะการังเกิดจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้สาหร่ายที่อาศัยอยู่ร่วมกับปะการังถูกขับออก ส่งผลให้ปะการังสูญเสียสีและเสี่ยงต่อการตาย
6. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเร่งความรุนแรงของพายุในเอเชีย
งานวิจัยด้านการระบุสาเหตุสภาพอากาศยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้พายุและฝนมรสุมในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รุนแรงขึ้น โดยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 พายุไซโคลน 2 ลูกถล่มอินโดนีเซียและมาเลเซียพร้อมกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,800 คน และประชาชนกว่า 1.2 ล้านคนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและดินถล่ม นอกจากนี้ทั้งประเทศเวียดนาม และประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักผิดปกติ จนทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ตามมา
7. สหรัฐฯ ฟื้นอุตสาหกรรมถ่านหิน สวนทางการลดโลกร้อน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร 4 ฉบับ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหิน พร้อมยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในยุคก่อนหน้า แม้ถ่านหินจะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่คำสั่งดังกล่าวกลับยกย่องถ่านหินว่าเป็นพลังงาน “สะอาดและคุ้มค่า” สร้างความกังวลต่อทิศทางการลดการปล่อยก๊าซของสหรัฐฯ
8. สนธิสัญญาทะเลหลวงของสหประชาชาติ เตรียมมีผลบังคับใช้ปี พ.ศ. 2569
สนธิสัญญาทะเลหลวงฉบับแรกของโลก ซึ่งมุ่งคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพในน่านน้ำสากล จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า หลังมีประเทศให้สัตยาบันครบตามเกณฑ์ สนธิสัญญานี้ตั้งเป้าคุ้มครองพื้นที่ทะเลหลวงอย่างน้อย 30% ของโลก จากปัจจุบันที่ได้รับการคุ้มครองเพียง 1%
9. เต่าทะเลสีเขียวพ้นสถานะใกล้สูญพันธุ์
สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ประกาศถอดสถานะ “ใกล้สูญพันธุ์” ของเต่าทะเลสีเขียว หลังประชากรฟื้นตัวจากการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษ 2510
10. บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลมีส่วนทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วโลก
งานวิจัยชี้ว่า บริษัทพลังงานและปูนซีเมนต์รายใหญ่ 180 แห่ง มีส่วนทำให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงหลายร้อยครั้งทั่วโลกในช่วงปี พ.ศ. 2543–2566 นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า ทุก “คลื่นความร้อน” ในปัจจุบันล้วนมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ
ปี พ.ศ. 2568 เป็นอีกหนึ่งปีที่ตอกย้ำว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็น “ความจริงในปัจจุบัน” ที่ส่งผลต่อมนุษย์และธรรมชาติ ทำให้เราต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามสำคัญว่า โลกจะเลือกเดินหน้าสู่ความยั่งยืนจริงหรือไม่? หรือยังคงถ่วงเวลา ท่ามกลางผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
