"CECOT" ใน "เอลซัลวาดอร์" เรือนจำที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

CECOT หรือ Centro de Confinamiento del Terrorismo เป็นเรือนจำขนาดใหญ่ที่มีความปลอดภัยขั้นสูงสุด ตั้งอยู่ในเมืองเตโคลูกา ประเทศเอลซัลวาดอร์ รองรับผู้ต้องขังได้ถึง 40,000 คน

ที่นี่เป็นหนึ่งในเรือนจำที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุดในโลก แต่ขณะเดียวกันก็เลวร้ายเหมือนนรกบนดิน จนได้รับการขนานนามว่า เป็นช่องโหว่ของสิทธิมนุษยชนจากวิธีการปฏิบัติต่อนักโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยส่งอาชญากรจากสหรัฐฯ มาขังที่นี่ด้วย

การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 2022 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีนายิบ บูเคเล แห่งเอลซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามอาชญากรรมและความรุนแรงจากแก๊งอาชญากร เรือนจำแห่งนี้เปิดอย่างเป็นทางการในปี 2023 และภายในไม่กี่เดือน รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ได้ย้ายผู้ต้องสงสัยที่เป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรหลายพันคนมายังเรือนจำแห่งนี้ภายใต้นโยบายที่ระงับสิทธิตามรัฐธรรมนูญบางประการ ซึ่งถือเป็นการดึงดูดความสนใจจากนานาชาติเกี่ยวกับขอบเขตและผลกระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของพลเมืองในประเทศ

CECOT เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อนักโทษ เช่น เรือนจำแห่งนี้กักขังนักโทษในห้องขังอย่างแออัด บางครั้งมีผู้ต้องขังอยู่รวมกันมากกว่า 100 คน นานถึง 23 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ภายในเรือนจำเปิดไฟตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ต้องขังห้ามออกนอกห้อง ไม่ให้ครอบครัวมาเยี่ยม และไม่ให้สื่อสารกับโลกภายนอก แม้แต่ทนายความก็ถูกห้ามไม่ให้พบลูกความ ซึ่งเท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้นักโทษได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนทางกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น เรือนจำแห่งนี้ไม่ได้เปิดโอกาสทางการศึกษาหรือโครงการฟื้นฟูใดๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักโทษกลับเข้าสู่สังคมหลังพ้นโทษ 

เหมือนที่มิเกล ซาร์เร อดีตสมาชิกคณะอนุกรรมการป้องกันการทรมานแห่งสหประชาชาติ กล่าวไว้ว่า เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อ “กำจัดผู้ต้องขัง โดยไม่ใช้โทษประหารชีวิตอย่างเป็นทางการ” ในหลายกรณี นักโทษที่ CECOT ไม่ได้ถูกตัดสินจำคุกอย่างชัดเจน แต่กลับถูกเนรเทศออกจากสังคมอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งเนรเทศนักโทษไปยังเรือนจำเอลซัลวาดอร์โดยตรง โดยอ้างรัฐบัญญัติศัตรูต่างด้าว ค.ศ. 1798 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการกักขังหรือขับไล่บุคคลที่ไม่ใช่พลเมืองในช่วงสงคราม - และผู้นำเอลซัลวาดอร์ ก็ประกาศรับนักโทษจากสหรัฐฯ ด้วย

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า นักโทษ 250 คนที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม เตรน เด อรากัว และ MS-13 ถูกส่งขึ้นเครื่องบินไปยังเอลซัลวาดอร์ 

รัฐบาลสหรัฐฯ ตกลงจ่ายเงิน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่เอลซัลวาดอร์เพื่อควบคุมตัวนักโทษเหล่านี้ นายิบ บูเคเล ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ ยืนยันว่าบุคคลเหล่านี้จะถูกควบคุมตัวที่ CECOT 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มนักโทษที่ถูกเนรเทศไปกลุ่มนี้จะถูกระบุว่าเป็นสมาชิก

แก๊งอาชญากร แต่ทั้งสหรัฐอเมริกาและเอลซัลวาดอร์ก็ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อหรือหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าว 

เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ระบุในภายหลังว่าบุคคลเหล่านี้หลายคนไม่มีประวัติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ญาติของผู้ถูกเนรเทศบางคนยังได้เปิดเผยเอกสารราชการที่ระบุว่า พวกเขาหลายคนไม่มีประวัติอาชญากรรมในเวเนซุเอลาหรือในประเทศอื่นๆ ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ด้วย

ต่อมาในเดือนเมษายน 2025 ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดในการขยายความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับเรือนจำต่างประเทศ ไม่เพียงแต่สำหรับการคุมขังผู้อพยพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมรุนแรงด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายได้ตั้งข้อสงสัยในความถูกต้องตามกฎหมายของนโยบายดังกล่าว เพราะพลเมืองอเมริกันได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้รับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและการคุ้มครองจากการเนรเทศ แม้ว่าจะยังไม่มีนโยบายอย่างเป็นทางการ แต่แถลงการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่ทรัมป์จะทำนั้นถูกต้องตามกฎหมายสหรัฐฯ หรือไม่