รีเซต

นักวิเคราะห์ ชี้หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดทางเทคนิคแล้ว ลุ้นรีบาวด์ พ.ค.-มิ.ย. รับแรงหนุน Thai ESG X / เป้า 1275 - เตือนระวัง Tech War ระยะถัดไป

นักวิเคราะห์ ชี้หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดทางเทคนิคแล้ว ลุ้นรีบาวด์ พ.ค.-มิ.ย. รับแรงหนุน Thai ESG X / เป้า 1275 - เตือนระวัง Tech War ระยะถัดไป
TNN ช่อง16
25 เมษายน 2568 ( 14:17 )
17

คุณณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยผ่านรายการ WEALTH LIVE ชี้ สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่า SET Index น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังเกิด Positive Divergence และตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควร คาดการณ์ว่าช่วง 2 เดือนข้างหน้า (พ.ค.-มิ.ย.) ตลาดจะได้รับแรงหนุนจากการเจรจาการค้าที่น่าจะผ่อนคลายลง และเม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG X พร้อมคงเป้าดัชนีที่ 1,275 จุด แต่เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ เพราะหลังจบสงครามการค้า อาจมีสงครามเทคโนโลยี (Tech War) ต่อ

SET ผ่านจุดต่ำสุดทางเทคนิค - รับรู้ปัจจัยลบแล้ว

คุณณัฐพลให้ความเห็นว่า ในทางเทคนิค ตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (Low ที่ 1106 จุด) โดยสังเกตจากสัญญาณ Positive Divergence ในกราฟรายวัน (ดัชนีทำ Low ใหม่ แต่ MACD ไม่ทำ Low ใหม่) ประกอบกับมุมมองพื้นฐานที่เชื่อว่าตลาดได้สะท้อน (Priced-in) ความกังวลเรื่องการปรับลดประมาณการกำไร (Earnings Downgrade) และผลกระทบจากสงครามการค้าไปมากแล้ว ณ บริเวณ 1100 จุด โดย บล.หยวนต้า ใช้คาดการณ์ EPS ปี 2568 ที่ 85 บาทต่อหุ้น (ลดลงจากเดิมที่ 92 บาท)

พ.ค.-มิ.ย. ลุ้น Rebound - ปัจจัยหนุน Thai ESG X / เจรจาการค้า

ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า คาดว่าตลาดจะมีปัจจัยหนุน ดังนี้:

  1. การเจรจาการค้า: เชื่อว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บจริงน่าจะต่ำกว่ากรอบบนที่ประกาศไว้ (เช่น 37% สำหรับไทย) เมื่อมีการเจรจาและได้ข้อสรุปที่ผ่อนคลายลง ตลาดที่ปรับลงไปก่อนหน้าควรจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา
  2. กองทุน Thai ESG X: คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าประมาณ 10,000 ล้านบาท +/- ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ซึ่งเงินส่วนนี้จะเข้าสู่ตลาดหุ้นโดยตรง (ต่างจาก Thai ESG เดิม) และน่าจะช่วยหนุนดัชนีได้ประมาณ 15 จุด

เป้าหมาย SET 1275 - เตือนความเสี่ยง Tech War / น้ำมัน

บล.หยวนต้า คงเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ไว้ที่ 1,275 จุด อิง EPS 85 บาท (โต ~10% YoY), GDP โต 1.9%, และคาดว่าไทยจะเจรจาอัตราภาษีได้ที่ราว 20%

อย่างไรก็ตาม คุณณัฐพลเตือนว่า อย่าเพิ่งวางใจ แม้จะผ่านจุดต่ำสุด เพราะสงครามการค้าเป็นเพียงเฟสแรก และมีความเสี่ยงที่จะเกิด Tech War (สงครามเทคโนโลยี) ตามมา ซึ่งเป็นรูปแบบที่สหรัฐฯ มักใช้ ความเสี่ยงสำคัญอีกประการต่อประมาณการกำไรคือ ราคาน้ำมัน หาก Brent ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล จะกดดัน EPS 85 บาทได้ แต่ยังเชื่อว่ากรอบ 60-70 ดอลลาร์ฯ มีความเป็นไปได้

"Sell in May" ไม่น่าเกิด - ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลด

  • Sell in May: เชื่อว่าปีนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะตลาดลงมาเยอะแล้ว, Valuation ไม่แพง และแรงขายหุ้นแบงก์หลัง XD ไม่รุนแรง หากเกิดขึ้นตามสถิติ มักจะลงช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ค. ซึ่งจะเป็นโอกาสซื้อเพื่อลุ้นเด้งในครึ่งหลัง
  • ดอกเบี้ย กนง.: (มุมมองส่วนตัว) คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งหน้า (พุธหน้า) เนื่องจาก กนง. จะปรับลดคาดการณ์ GDP ลงแรง (เหลือ 1.x%) และตลาดพันธบัตร (Bond Yield) ได้สะท้อนการลดดอกเบี้ยไปล่วงหน้าแล้ว หาก กนง. ลดดอกเบี้ย จะเป็น ลบต่อกลุ่มธนาคาร แต่เป็น บวกต่อกลุ่มไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า, REITs, สื่อสาร (ICT)

หุ้นเด่นน่าลงทุน:

  • กลุ่มที่คาดว่ากำไร Q1/68 โตดี (QoQ & YoY):
    • อาหารและเครื่องดื่ม: OSP
    • ฟาร์มปศุสัตว์: CPF, GFPT 
    • ค้าปลีก (อุปโภคบริโภค): CPALL
    • โรงพยาบาล: BDMS
    • ท่องเที่ยว: CENTEL
    • ไฟแนนซ์: SAWAD (Top Pick - โตจากฐานต่ำ), MTC (ดูดีเช่นกัน)
  • กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง: ไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า, REITs, สื่อสาร (ICT)

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง