รีเซต

"KTC-BEC-XPG" กอดคอดิ่ง 2 ฟลอร์ สวนตลาด หลังพบรายงานหุ้นวางมาร์จิ้นเพียบ

"KTC-BEC-XPG" กอดคอดิ่ง 2 ฟลอร์ สวนตลาด หลังพบรายงานหุ้นวางมาร์จิ้นเพียบ
TNN ช่อง16
24 มิถุนายน 2568 ( 11:02 )
32

หุ้น KTC, BEC และ XPG กอดคอกันร่วงติดฟลอร์ตามเกณฑ์ชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ 15% เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน สวนทางภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวบวกขึ้นมากว่า 22 จุด หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% (ณ เวลา 10.50 น.)

โดยหุ้นของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ร่วงติดฟลอร์ 14.41% มาอยู่ที่ 25.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 104 ล้านบาท ซึ่งมีออร์เดอร์ขายรอมากกว่า 213 ล้านหุ้น ทั้งนี้หุ้น KTC มีรายงานการวางมาร์จิ้นหุ้นไว้ 16.30% ของหุ้นทั้งหมด

หุ้นของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ร่วงติดฟลอร์ 14.84% มาอยู่ที่ 2.64 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.05 ล้านบาท ซึ่งมีออร์เดอร์ขายรอมากกว่า 44 ล้านหุ้น ทั้งนี้หุ้น BEC มีรายงานการวางมาร์จิ้นหุ้นไว้ 16.02% ของหุ้นทั้งหมด

และหุ้นของบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ร่วงติดฟลอร์ 15% มาอยู่ที่ 0.51 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.67 ล้านบาท ซึ่งมีออร์เดอร์ขายรอมากกว่า 137 ล้านหุ้น ทั้งนี้หุ้น XPG มีรายงานการวางมาร์จิ้นหุ้นไว้ 13.49% ของหุ้นทั้งหมด

ด้านนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น 3 ตัวนี้ คือ หุ้นบมจ.บัตรกรุงไทย [KTC] บมจ.บีอีซี เวิลด์ [BEC] และบมจ. เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล [XPG] ยังร่วงลงมาต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ ยังเป็นผลจากที่คาดว่าจะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ไว้ถูกบังคับขาย (Force Sell) ดังนั้น หุ้น KTC BEC XPG ก็ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงได้ต่อเพราะยังมีออร์เดอร์รอขายอยู่อีกมา

แต่เนื่องด้วยการปรับตัวลงของหุ้นทัง 3 ไม่ได้มาจากปัญหาในด้านปัจจัยพื้นฐาน จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลมากนัก จึงแนะนำให้หาจังหวะรอซื้อหุ้นเหล่านี้หลังจากหลุดออกจากฟลอร์แล้ว เพราะคาดว่าหุ้นทั้ง 3 จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ดี

ขณะที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า จากการสอบถามไปทาง IR ของ KTC ได้รับคำตอบว่าผลการดำเนินงานยังคงเป็นปกติ ผลประกอบการ 5 เดือนแรก การเติบโตของสินเชื่อยังโตได้ตามสถานการณ์เศรษฐกิจแม้ไม่ค่อยดีนัก แต่รายได้ยังคงทรงตัว ขณะที่การติดตามทวงถามหนี้ยังทำได้ใกล้เคียงเดิม

เราเชื่อว่าการปรับตัวลดลงหนักของราคาหุ้น KTC ไม่น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่อย่างใด ขณะที่ KTB ยังคงยืนยันสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ที่ระดับ 49.29% ไม่มีแผนการลดสัดส่วนการถือหุ้น ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเป็นการถูก Force sell ตามที่เป็นกระแสข่าว

อย่างไรก็ดี หากถูก Force sell จริง ถ้านักลงทุนที่นำหุ้น KTC ไปวางเป็นหลักประกันไม่สามารถหาหลักประกันมาวางเพิ่ม หรือนำเงินมาจ่ายชำระหนี้ได้ อาจมีการบังคับขายต่อในวันนี้ แต่เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของ KTC ไม่เปลี่ยนแปลง และเรายังเชื่อว่า KTC ยังจะสามารถทำกำไรได้นิวไฮต่อเนื่องในปีนี้ได้ คงรอเพียงแรงขายหยุดแล้วค่อยเข้าซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 42 บาท (ประเมินโดยวิธี GGM ที่ 2.25xPBV68F)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง