"สุวัฒน์" ชี้เป้านาทีทอง "หุ้นน้ำมัน" คาดราคาทะลุ 80 ดอลลาร์ ประเมิน "อิสราเอล-อิหร่าน" ขัดแย้งยืดเยื้อ

คุณสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน ที่ล่าสุดอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านเป็นที่เรียบร้อย โดยสหรัฐอเมริกาที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียกับเหตุการณ์นี้ ได้ออกมาประกาศว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
โดยคุณสุวัฒน์ระบุว่า ทำไมอิสราเอลต้องโจมตีอิหร่านตอนนี้? ทำไมต้องเป็นอิหร่านครั้งนี้? น้ำมันน่าจะยืนเหนือ 75-80 ดอลลาร์ต่อบาเรลได้ และหุ้นน้ำมันกำลังจะกลับมาโดดเด่น ซึ่งการอ้างว่าโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน (ที่มีมานานแลัว) เป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล ถึงขั้นที่อิสราเอลหาญกล้าโจมตีอิหร่าน โดยสหรัฐอ้างว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง และให้ความช่วยเหลือใด ๆ ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีที่มาที่ไปดังนี้
สงครามเพื่อก่อความไม่สงบในตะวันออกกลางมีความจำเป็นค้องดำเนินต่อไป เพื่อให้สหรัฐฯสามารถขายอาวุธให้กับชาติอาหรับที่ร่ำรวย แต่ไม่ได้มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง อย่าง ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ จำเป็นต้องซื้ออาวุธมากมายเพื่อป้องกันตนเอง
และความไม่สงบในตะวันออกกลางต่อจากนี้ไป คู่ชกจะเปลี่ยนจากอิสราเอล-ฮามาส ที่สู้กันมาปีกว่า จนกระทั่งฮามาสอ่อนเปลี้ย และสังคมโลกไม่ให้ความสำคัญ หรือความกลัว ต่อสงครามคู่นี้อีกแล้ว คู่ขัดแย้งถัดไปจึงกลายเป็น "อิหร่าน"
เพราะปัจจุบัน ชาติอาหรับ 4 เกลอหัวแข็งที่มีกองกำลังพอจะสู้กับอิสราเอลได้ในอดีต คือ อียิปต์, จอร์แดน, อิรัค และซีเรีย ล้วนอ่อนแอ จึงไม่สามารถจะเป็นคู่ชกกับอิสราเอลเพื่อสร้างความวุ่นวายในตะวันออกกลางได้อีก ดังนั้นจึงเหลือเพียงอิหร่านที่จะเป็นคู่ชกที่เหมาะสมไดั เพราะอิหร่านเป็นชาติเปอร์เซียที่ไม่ใช่อาหรับ และมีความสามารถต่อกรกับอิสราเอลได้ ซึ่งน่าสังเกตว่า
ทำไมอิสราเอลต้องมากลัวอิหร่านตอนนี้ เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ที่แม้แต่วันนี้ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ
ทำไมอิสราเอล กล้าที่จะลงมือโจมตีอิหร่านก่อน ทั้งที่สูญเสียเงิน อาวุธ กำลังพลไปจากการต่อสู้กับฮามาส ถ้าไม่มีสหรัฐหนุนหลัง อิสราเอลจะกล้าทำขนาดนี้หรือไม่
ในขณะที่สหรัฐได้กำไรมากมาย ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซมากที่สุดในโลก และส่งออกมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการกดราคาน้ำมันให้ต่ำในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพื่อทำให้เงินเฟ้อออกมาต่ำ โดยได้รับความร่วมมือจากซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ประกาศเพิ่มการผลิต หลังจากคงการลดกำลังการผลิตตามโควต้า 2.2 ล้านบาเรลต่อวัน ของกลุ่ม Opec+ มานานกว่า 2 ปี
นั่นทำให้ราคาน้ำมัน Brent ลดลงแตะ 60 ดอลลาร์ต่อบาเรล ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 4-5 ปี แล้วทำไมต้องเป็นราคานี้ เพราะเป็นระดับที่ผู้ผลิต shale oil ของสหรัฐฯบางส่วนที่มีต้นทุนสูง จะเริ่มไม่ทำกำไร และอาจขาดทุนหากราคาลดลงอีก
รวมถึงการกดดันจีนที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯเคยครองตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน แล้วมาถูกเปิดจุดอ่อนด้านพลังงานในช่วงปี 1970-1985 ที่สหรัฐฯถูกผู้ผลิตน้ำมันตะวันออกกลาง ประท้วงไม่ขายน้ำมันให้ ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งพรวดเกิน 16% และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย กว่าจะกลับมาได้ ต้องรอให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยไปเกิน 16% เพื่อปราบเงินเฟ้อ
หลังจากนั้น สหรัฐก็เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมัน จากการใช้เทคโนโลนี่ fracking ที่ทำให้การผลิต shale oil/gas เพิ่มขึ้นจากปี 2000 ที่เพียง 1 ล้านบาเรลต่อวัน เป็นสูงกว่า 12 ล้านบาเรลต่อวัน ในปัจจุบัน
ทำให้สหรัฐฯนอกจากไม่ต้องกังวลว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง จะมาดัดหลังสหรัฐฯด้านพลังงานได้อีก นั่นจึงทำให้ความไม่สงบในตะวันออกกลางจากสงครามอิมราเอล-ฮามาส แทบไม่มีผลต่อราคาน้ำมันในข่วงที่ผ่านมา เพราะแท้จริงแล้ว สหรัฐฯคือจ้าวแห่งพลังงานโลกในปัจจุบัน ที่กุมอำนาจในการกำหนดราคาน้ำมัน และก๊าซไว้ในมือ
มาวันนี้ สหรัฐฯหันมาใช้พลังงานเป็นอาวุธ โดยการสร้างความวุ่นวาย โดยใช้อิสราเอลเป็นตัวแทน จากสงครามกับฮามาส มาสู่สงครามกับอิหร่าน โดยที่สหรัฐใช้เรื่องการเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน การถอนคนจากพื้นที่ “เสี่ยง” จากอิรัค และการแซงก์ชั่นน้ำมีนอิหร่านเป็นเชื้อไฟ ที่ใส่เพิ่มลงไปในกองไฟอิสราเอล
โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะยืนเหนือ 75-80 ดอลลาร์ต่อบาเรล ได้ใน 6 เดือนที่เหลือปี 2025 และน่าจะยืนเหนือ 80 ดอลลาร์ต่อบาเรลได้ในปี 2026 เพราะสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ดูท่าจะยืดเยื้อเป็นปี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
