นักวิเคราะห์ต่างชาติมองเศรษฐกิจ ไทย-กัมพูชา

นักวิเคราะห์ต่างชาติเตือนว่า ความตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรง โดยเฉพาะต่อกัมพูชา ซึ่งยังต้องพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโต แม้รายได้จากการท่องเที่ยวของกัมพูชาจะคิดเป็นเพียง 9% ของจีดีพี เทียบกับไทยที่อยู่ที่ 12% แต่กัมพูชากลับมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบางกว่า และมีเครื่องมือรับมือกับวิกฤตทางเศรษฐกิจจำกัดกว่าไทยมาก

ศรีปารนา บาเนอร์จี นักวิจัยจาก Observer Research Foundation ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า แม้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น แต่ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นให้หลายประเทศออกคำเตือนด้านการเดินทาง (Travel Advisory) ซึ่งจะกระทบภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศ และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงที่ไทยและกัมพูชาต่างกำลังเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 บาเนอร์จียังเตือนว่า กัมพูชาไม่มีระบบสวัสดิการที่แข็งแรง ไม่มีทุนสำรองทางการคลังขนาดใหญ่ หรือคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีอำนาจเหมือนไทย ทำให้แม้แต่ความไม่สงบเพียงไม่กี่วัน ก็อาจสร้างผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจกัมพูชาได้

ในขณะที่ผลกระทบต่อไทยยังอยู่ในระดับจำกัด โจชัว เคอร์แลนต์ซิก นักวิจัยอาวุโสจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR) ชี้ว่า จุดท่องเที่ยวสำคัญของไทย เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต อยู่ห่างจากแนวชายแดนมากกว่า 250 กิโลเมตร ทำให้ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยตรง และไม่น่าจะถูกกระทบต่อการเดินทางในระยะสั้น นอกจากนี้ ข้อมูลจาก The Vacationer ยังระบุว่า กรุงเทพฯ และภูเก็ตสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวรวมกันมากกว่า 1 ล้านล้านบาทในปี 2567 ทำให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยมีภูมิคุ้มกันสูงกว่า

ขณะที่กัมพูชาเผชิญความเสี่ยงซ้อน ทั้งจากการพึ่งพาการท่องเที่ยวและการพึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อความไม่มั่นคง หากสถานการณ์ชายแดนยืดเยื้อ อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกและโครงการพัฒนาถูกชะลอ ซึ่งจะกระทบต่อแรงงานและธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ชายแดนโดยตรง

บทเรียนจากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2554 ก็สะท้อนผลกระทบชัดเจน โดยนักท่องเที่ยวลดลงทันทีมากกว่า 20% ภายในไม่กี่สัปดาห์ และยังส่งผลให้ธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดฝั่งชายแดนต้องปิดตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งในครั้งนี้ สถานการณ์มีความเสี่ยงยิ่งกว่า เพราะเศรษฐกิจทั้งสองประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากโควิด-19 และความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั่วโลกยังเปราะบาง