ตัวแทนเหล่าทัพแถลง ยัน "กัมพูชาโจมตีก่อน" ไทยจำเป็นต้องตอบโต้

ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งขึ้นเพื่อบูรณาการข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นเอกภาพ และจัดแถลงข่าวสถานการณ์วันละ 2 ครั้ง ได้แก่ เวลา 10.00 น. และ 16.00 น. ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) และสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)
1. ภาพรวมสถานการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 กำลังทหารกัมพูชาได้เปิดฉาก ใช้อาวุธยิงใส่กำลังพลฝ่ายไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก - พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ก่อนที่สถานการณ์การปะทะจะขยายวงตามแนวชายแดน ต่อมาในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ยังมีการปะทะในหลายพื้นที่
โดยฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธทุกประเภท ทั้งปืนกล ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง โดรนทิ้งระเบิด และทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โจมตีเข้ามายังฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จนถึงขณะนี้ มีกำลังพลกองทัพบกไทยเสียชีวิต 1 นายบาดเจ็บ 29 นาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนบาดเจ็บ 4 นาย
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย โดยขณะนี้มีศูนย์พักพิงในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 687 แห่ง รองรับประชาชน 110,657 คน และในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 จำนวน 44 แห่ง รองรับประชาชน 20,220 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยประมาณ 4,400 นาย
2. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการบรรยายสรุปท่าทีของรัฐบาลไทยและ 5 ประเด็นหลัก
ให้เอกอัครราชทูตจาก 73 ประเทศและองค์การระหว่างประเทศ และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
2.1 เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนการรุกรานและการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาในรูปแบบเดิม ทั้งการเปิดฉากใช้อาวุธ การลอบวางทุ่นระเบิด และการปฏิเสธความรับผิดชอบ แม้จะพยายาม สร้างภาพเรียกร้องสันติภาพและยับยั้งชั่งใจ
2.2 ไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน จึงจำเป็นต้องดำเนินการทางทหารเท่าที่จำเป็น จนมั่นใจว่าอธิปไตยและดินแดนไทยจะไม่ถูกคุกคาม
2.3 ประชาชนชาวไทยได้เผชิญภัยคุกคามจากการกระทำของกัมพูชามาแล้วหลายครั้ง จนความอดทนอดกลั้นถึงขีดจำกัด รัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญสูงสุดต่อการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
2.4 ท่าทีของไทย รวมถึงการปฏิบัติการทางทหาร จะดำเนินไปจนกว่ากัมพูชาจะแสดง ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลับมาเลือกเส้นทางสู่สันติภาพที่แท้จริง
2.5 กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยสันติภาพ ซึ่งได้ลงนามร่วมกัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
3. การปฏิบัติของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กองทัพบก ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุอย่างเป็นระบบ เพื่อการป้องกันตนเอง ผลักดันพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำอธิปไตย และทำลายศักยภาพการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 และ 2 อาทิ การทำลายฐานที่มั่นชั่วคราวและจุดปล่อยโดรนของเครือข่ายสแกมเมอร์ในพื้นที่ช่องอานม้า การผลักดันกำลังทหารกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทคนา และการควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการ ในจังหวัดสระแก้ว โดยยึดมั่นในหลักการใช้กำลังเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน
กองทัพเรือ พบว่ากำลังทหารกัมพูชากลับเข้ามาตั้งฐานและเสริมกำลังในเขตอธิปไตยของไทย บริเวณจังหวัดตราด แม้ฝ่ายไทยจะแจ้งเตือนและเจรจาในทุกระดับแล้ว ก็ยังตรวจพบการเสริมกำลังด้วยชุดรบพิเศษ พลซุ่มยิง อาวุธหนัก และโดรนลาดตระเวนในลักษณะที่กระทบต่ออธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับไล่กำลังทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ ตามหลักสิทธิการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defence) ภายใต้การควบคุมของศูนย์บัญชาการทางทหารอย่างใกล้ชิด
กองทัพอากาศ การใช้กำลังทางอากาศดำเนินไปเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพบก ในลักษณะได้สัดส่วนตามกฎการใช้กำลังในระดับสากล โดยมุ่งโจมตีเป้าหมายทางทหารที่ชัดเจน เพื่อลดขีดความสามารถในการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา และเสริมความปลอดภัยของกำลังพลและฐานที่ตั้งของไทย ควบคู่กับการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยฐานบิน การเฝ้าระวัง และ การออกประกาศเขตห้ามบินโดรน
โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่องานด้านความมั่นคง กองทัพอากาศยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดทางยุทธวิธีที่อาจกระทบต่อความปลอดภัยของกำลังพล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้ดูแลความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายใน รวมทั้งการอพยพประชาชนและสนับสนุนด้านมนุษยธรรม โดยดำเนินการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ดูแลเส้นทางอพยพ เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ ส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ ควบคุมการจราจร และดูแลทรัพย์สิน ของประชาชนที่อพยพออกจากพื้นที่ รวมทั้งจัดกำลังตำรวจดูแลความปลอดภัยในศูนย์พักพิง ตลอดจนเพิ่มความเข้มงวดด้านความปลอดภัยในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน SEA GAMES Thailand 2025 เพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรงทุกรูปแบบ
4. การยึดมั่นในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law : IHL) รัฐบาลไทยและเหล่าทัพยืนยันว่าการปฏิบัติการทุกขั้นตอนยึดมั่นในหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลักสำคัญ ได้แก่
-การแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารกับพลเรือน (Distinction)
-การใช้กำลังอย่างได้สัดส่วนกับความจำเป็นทางทหาร (Proportionality & Military Necessity)
-การใช้มาตรการป้องกันเพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนให้น้อยที่สุด (Precaution)
-การคุ้มครองผู้บาดเจ็บ ผู้ยอมจำนน เชลยศึก หน่วยแพทย์ และสถานพยาบาลทุกแห่ง
การปฏิบัติของฝ่ายไทยมุ่งโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร เพื่อลดขีดความสามารถ ทางการรบของฝ่ายกัมพูชา ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และสถานที่สำคัญทางพลเรือนอย่างไม่จำเป็น ประเทศไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพนั้นต้องมาคู่กับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนไทยเป็นสำคัญ
เราขอเน้นย้ำจุดยืนของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศว่า “กัมพูชาโจมตีไทยก่อน และไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของประเทศ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
