รีเซต

นารีขี่ม้าขาว "ซานาเอะ ทาคาอิจิ" (ว่าที่)นายกฯหญิงคนแรก "ญี่ปุ่น" สู่ยุคขวาจัด-อาเบะโนมิกส์

นารีขี่ม้าขาว "ซานาเอะ ทาคาอิจิ" (ว่าที่)นายกฯหญิงคนแรก "ญี่ปุ่น" สู่ยุคขวาจัด-อาเบะโนมิกส์
TNN ช่อง16
13 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
30

"ญี่ปุ่น" จะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์  “ซานาเอะ ทาคาอิชิ” 


แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็พร้อมกับจุดยืนสายอนุรักษ์นิยม หรือขวาจัด ที่สำคัญต้องจับตาเรื่องของเศรษฐกิจกันให้ดี เพราะเธอคนนี้คือ ลูกศิษย์ ของอดีตนายกฯผู้ล่วงลับ "ชินโซ อาเบะ" ที่จะพาแนวคิดแบบอาเบะโนมิกส์ กลับมาฟื้นญี่ปุ่นอีกครั้ง 


 "ซานาเอะ ทาคาอิชิ"  วัย 64 ปี ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP (พรรคเสรีประชาธิปไตย) พรรคสายอนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สาเหตุที่เธอถูกจับตาว่าจะได้มาเป็นนายกฯหญิงคนแรกในครั้งนี้ เนื่องจากพรรค LDP ของเธอนั้น ยังคงเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลของญี่ปุ่นและเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภามากที่สุด ดังนั้นจึงทำให้หัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างเธอ มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น เหลือเพียงแค่รอการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 นี้เท่านั้น เพื่อรอประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอคนนี้คือนายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น 


ซึ่งการเปลี่ยนหัวผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่นกลางคันครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สาเหตุเป็นเพราะว่า "ชิเงรุ อิชิบะ" ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลสูญเสียที่นั่งเสียงข้างมากในสภาสูงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และทำให้ภายในพรรค LDP เกิดแรงกดดันอย่างหนัก


การขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯของทาคาอิจิในช่วงเวลานี้ อยู่ท่ามกลางปัญหาภายในประเทศที่รุมเร้าและซับซ้อน ทั้งศึกในและศึกนอก ด้านเศรษฐกิจ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ภาษีสหรัฐฯ  และล่าสุดที่กำลังเกิดดราม่า ก็คือ ปัญหาผู้อพยพในประเทศ และยังรวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคของเธอเองที่สะสมมานานแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


คำปราศรัยของเธอหลังจากรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของเธอ กล่าวว่า  ทุกคนจะต้องทำงานหนักเหมือนม้าลากเกวียน โดยเฉพาะตัวเธอเองก็ไม่มีคำว่า work-life balance  เธอจะทำงาน ทำงาน และทำงานต่อไปเท่านั้น  เพื่อเปลี่ยนความกังวลของพี่น้องประชาชนให้กลายเป็นความหวังและมีอนาคตให้ได้ 


ทาคาอิจิ  สำเร็จการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยโกเบ ในปี 2527 เคยเป็นมือกลองวงเมทัลสมัยเรียน และเคยเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และอาจารย์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว โดยชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2536 และเคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวงในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และอดีตนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ


ทาคาอิจิ เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองขวาจัด หรือนักอนุรักษ์นิยมที่เคร่งครัด มีมุมมองด้านความมั่นคงที่แข็งกร้าวเช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะผู้ล่วงลับ แม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่ก็มีแนวคิคัดค้านการให้คู่สมรสใช้คนละนามสกุล และยังต่อต้านการสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สวนทางกับค่านิยมของคนรุ่นใหม่ 


การที่เธอมีจุดยืนที่แข็งกร้าว ทำให้ได้รับความนิยม สำหรับผู้สนับสนุนแนวทางชาตินิยม เพราะมองว่าเป็นความรักชาติ และหลายคนเชื่อว่า ญี่ปุ่นควรหลุดพ้นจากยุคการเมืองแบบประนีประนอมได้แล้ว ซึ่งความนิยมในกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาของญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยมาจากสาเหตุหลายอย่าง เช่น กังวลอิทธิพลของจีน  ความตึงเครียดเรื่องเกาหลีเหนือ ทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากต้องการผู้นำที่เด็ดขาดและกล้าที่จะเพิ่มอำนาจทางทหารของประเทศ 




สืบทอดและฟื้นคืน "อาเบะโนมิกส์” (Abenomics)"


ขณะที่ปัญหาปากท้องหรือเศรษฐกิจก็รุนแรงขึ้น และพรรคฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (CDP) ก็ยังไม่สามารถนำเสนอนโยบายที่น่าเชื่อถือหรือความมั่นใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้แรงพอ ทำให้คนญี่ปุ่นยังคงเชื่อมั่นและยึดมั่นในพรรค LDP พรรคเก่าแก่ที่สร้างความมั่นคงให้ประเทศมาช้านาน ที่สำคัญ สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ดูเหมือนว่าอุดมการณ์ของอดีตนายกฯชินโซ อาเบะยังขายได้ โดยเฉพาะแนวคิดทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า "อาเบะโนมิกส์"


“อาเบะโนมิกส์” (Abenomics) คือ ชื่อเรียกนโยบายเศรษฐกิจชุดใหญ่ ของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abeที่ได้เปิดตัวขึ้นหลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งเมื่อปลายปี 2012  เป้าหมายสำคัญคือการดึงประเทศออกจาก “ภาวะเงินฝืดเรื้อรัง” (deflation) และการเติบโตต่ำ และซบเซามายาวนานกว่า 20 ปี หลังเหตุการณ์ฟองสบู่แตกในช่วงปี 1990 


นโยบายนี้ตั้งอยู่บนสิ่งที่เรียกว่า “ลูกศร 3 ดอก” (Three Arrows)  ลูกศรดอกแรกคือ “นโยบายการเงินผ่อนคลายขั้นรุนแรง” (aggressive monetary easing) ให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ทางการเงิน เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยและกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน และทำให้อัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ส่งผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่งออกของญี่ปุ่นฟื้นตัวในระยะสั้น 


ลูกศรดอกที่สองคือ “นโยบายการคลังแบบขยายตัว” (flexible fiscal policy) ใช้งบประมาณขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง ระบบขนส่ง และการพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ มีการออกงบกระตุ้นเศรษฐกิจหลายระลอก รวมมูลค่าหลายสิบล้านล้านเยน อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลทำให้หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง จนแตะระดับกว่า 260% ของ GDP ในปี 2020 ซึ่งเป็นสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 


ลูกศรดอกที่สามคือ “การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ” (structural reforms) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เปิดเสรีแรงงาน เพิ่มบทบาทสตรีในตลาดแรงงาน ปฏิรูปภาคเกษตรและภาคพลังงาน 


ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์บางส่วน เช่น พอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ เคยกล่าวในคอลัมน์ของ The New York Times ว่า “อาเบะโนมิกส์คือความพยายามที่กล้าหาญที่สุดของประเทศพัฒนาแล้วในการต่อสู้กับภาวะเงินฝืดโดยใช้เครื่องมือการเงินและการคลังเต็มรูปแบบ” เขาเห็นว่าแม้นโยบายจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ถือเป็น “การทดลองทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของโลกยุคหลังวิกฤตซับไพรม์” (Krugman, NYT, 2015)


อีกด้านหนึ่ง สถาบันวิจัย Nomura Institute และนักเศรษฐศาสตร์จาก IMF มองว่าอะเบะโนมิกส์ได้สร้างรากฐานสำคัญให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นเรียนรู้กลไกการผ่อนคลายเชิงปริมาณขนาดใหญ่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแบบอย่างให้ธนาคารกลางในยุโรปและสหรัฐฯ นำไปปรับใช้ในช่วงการระบาดของโควิด-19

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง