‘นอร์ทอีสฯ’ ตั้งเป้ากวาดรายได้ 2.8 หมื่นล้าน มั่นใจได้อานิสงส์เทรนด์โลก-รถอีวี
เมื่อวันที่ 13 มกราคม นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2565 ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวม อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท จากปี 2564 ที่คาดว่าจะสามารถโตได้ตามเป้าที่ 24,500 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยสนับสนุนมาจากหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง รวมถึงหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะทำให้การเดินทางมากขึ้น ซึ่งยิ่งส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 2565 บริษัทฯ ยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 65% และต่างประเทศ 35% เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่สูงขึ้น
“สถานการณ์ยางกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยในไตรมาส 1/2565 มีปัจจัยบวกที่สนับสนุนเนื่องจาก ยางพารากำลังเข้าสู่ฤดูการปิดกรีด จึงเกิดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และ อุปทานลดต่ำลงตามฤดูกาล ขณะที่ความต้องการนำเข้ายางของจีนมากขึ้นและบริษัทผู้ผลิตเริ่มสต๊อกยางธรรมชาติ คาดว่าการบริโภครายเดือนจะสูงถึง 500,000 ตัน รวมถึงความต้องการยางในประเทศอื่นๆ ก็เพิ่มสูงขึ้น สมาคมรถยนต์โดยสารแห่งประเทศจีน (CPCA) ได้มีการรายงานว่ายอดจำหน่ายรถยนต์โดยสารพลังงานใหม่ในจีนรวม 2.99 ล้านคันในปี 2564 เพิ่มขึ้น 169.1% เมื่อเทียบกับปี 2563 และมียานยนต์ที่จดทะเบียนในปี 2564 รวม 36.74 ล้านคัน ทำให้จำนวนยานยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 395 ล้านคัน ซึ่งเป็นรถยนต์ 302 ล้านคัน รวมถึงมีรายงานยอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 5.4% หรือประมาณ 25.7 ล้านคัน ในปี 2565 จึงมีโอกาสหนุนให้ราคายางปรับตัวขึ้นแตะระดับ 70 บาทต่อกิโลกรัมได้ ขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 65-67 บาทต่อกิโลกรัม” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ด้านแผนงานธุรกิจปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์แผ่นปูนอนรองวัว ภายใต้แบรนด์ cattleFlex ยังเป็นไปตามแผนงาน โดยคาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรได้แล้วเสร็จในไตรมาส 1/2565 โดยมีปริมาณการขายในปี 2565 ที่ 280,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างทำการเจราจากับกลุ่มประเทศต่างๆ ให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า (Distributer) ซึ่งในเฟสแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 240 ล้านบาท โดย100 ล้านบาทแรก จะใช้ลงทุนด้านพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์ (โซลาร์) นำมาทดแทนพลังงานที่บริษัทต้องซื้อ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานของบริษัท และ 40 ล้านบาท ลงทุนด้านหุ่นยนต์ดึงยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต เพื่อหนุนปริมาณยอดขายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามนโยบายบริษัท เพื่อที่จะรุกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าและกำไรให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น