หมอเฉลิมชัย เผยฉีด "ไฟเซอร์" นาน 5 เดือน ป้องกันติดเชื้อลดลงเหลือ 47%
วันนี้( 6 ต.ค.64) นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19
โดยระบุว่า "ความรู้เรื่องCOVID-19 (ตอนที่931) 5 ต.ค. 2564
ฉีดวัคซีน Pfizer ครบ 2 เข็ม ผ่านไป 5 เดือน ป้องกันการติดเชื้อลดลงจาก 88% เหลือ 47% แต่ป้องกันการนอนโรงพยาบาลคงที่ 88%
คำถามสำคัญ และประชาชนต้องการคำตอบกันมากคือ เมื่อวัคซีนฉีดแล้วมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ และป้องกันการป่วยรุนแรงขนาดนอนโรงพยาบาล ไปได้นานเพียงใด
เริ่มต้นจะมีประสิทธิผล (Vaccine Effectiveness) สูงมาก เช่นวัคซีนของ Pfizer จะเริ่มต้นที่ประสิทธิผล 90% แต่เมื่อผ่านไปหลายเดือน ประสิทธิผลในการป้องกันจะลดลงมากน้อยเพียงใด และจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นเวลาห่างจากเข็มสองนานเท่าใด
ขณะนี้มีคำตอบจากรายงานการศึกษาครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชั้นนำคือ Lancet โดยเป็นการรวบรวมเวชระเบียนของคนจำนวน 3.43 ล้านคน ในช่วง 14 ธันวาคม 2563 ถึง 8 สิงหาคม 2564 ในกลุ่มดังกล่าวนี้
66% หรือ 2.27 ล้านคนได้ฉีดวัคซีน
34% หรือ 1.17 ล้านคน ไม่ได้ฉีดวัคซีน
เมื่อศึกษาเปรียบเทียบ ทั้ง ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ และการเจ็บป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล พบว่ามีผู้ที่ติดเชื้อ 5.4% หรือ 1.84 แสนคน และผู้ที่ต้องนอนโรงพยาบาล 0.35% หรือ 12,130 คน
โดยเมื่อคำนวณประสิทธิผลเปรียบเทียบ ระหว่างกลุ่มที่ฉีดวัคซีน และไม่ได้ฉีดวัคซีน สรุปได้ดังนี้
ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ
ที่ 1 เดือนได้ 88%
ที่ 5 เดือนได้ 47%
ป้องกันการนอนโรงพยาบาล
ที่ 1 เดือนได้ 87%
ที่ 5 เดือนได้ 88%
ถ้าแยกเป็นไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ พบว่าในกรณีเป็นไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อลดจาก 75% เหลือ 53% ส่วนประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลคงที่อยู่ที่ 93%
จึงพอสรุปได้ว่า วัคซีน mRNA ของ Pfizer เมื่อฉีดไปแล้ว 5 เดือน จะยังสามารถป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ดีเท่ากับตอนเริ่มต้นฉีดใหม่ๆ
ส่วนประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ ลดลงไปครึ่งหนึ่ง การพิจารณาว่าจะต้องฉีดเข็ม 3 เมื่อไหร่ จึงต้องอยู่ที่ประเด็นว่า เน้นป้องกันการติดเชื้อไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการเล็กน้อย หรือเน้นป้องกันการติดเชื้อที่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล"
ข้อมูลจาก นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ
ภาพจาก นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ / AFP