จากปฏิญญาสันติภาพ สู่ไม่เจรจา ความเสี่ยงสู้รบระลอกใหม่ ชายแดนไทย-กัมพูชา

ผ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ และผู้นำของไทย-กัมพูชา และมาเลเซีย มาร่วมลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชาไปได้เพียงแค่ 2 สัปดาห์ ตอนนี้ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์นั้น ดูท่าว่าจะกลายเป็นเพียงสันติภาพเพียงแค่ชั่วคราว เมื่อเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดอีกครั้ง จนนำมาสู่ท่าทีที่อาจมีการปะทะกันอีกครั้ง
ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ที่เกิดที่การประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อปลายเดือนตุลาคมนั้น มีใจความสำคัญ 4 ข้อที่ลงนามด้วยกัน คือ
1. ถอนอาวุธหนัก ออกจากแนวชายแดน
2. เก็บกู้วัตถุระเบิด
3. ร่วมมือกันปราบปรามสแกมเมอร์
4. หาแนวทางบริหารพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน ไม่ให้เกิดปัญหา
ทั้งก่อนหน้าการประชุมอาเซียนเอง ในกรอบการประชุม JBC และ GBC เองก็เป็นไปด้วยดี ทั้งสองประเทศตกลงเรื่องการถอนอาวุธ, จัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน และการศึกษา และวางหลักเขตแดนชั่วคราว ซึ่งล้วนแต่เป็นไปในทิศทางที่มีความร่วมมือ และเป็นไปด้วยการเจรจาสันติภาพ
แต่ล่าสุด สถานการณ์อาจกลับมารุนแรง และสันติภาพนั้นก็สั้นกว่าที่คาดหวังไว้ หลังทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด ที่ จ.ศรีสะเกษ ใกล้ปราสาทเขาพระวิหาร ขณะลาดตระเวนแนวชายแดน
โดยจากการประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้สรุปว่า การบาดเจ็บของทหารไทยจากทุ่นระเบิดเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และการมีทุ่นระเบิดในพื่นที่ไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตย และรัฐบาลจะ ปกป้องอธิปไตยและชีวิตของทหารไทย จึงมีมติระงับ Joint Declaration ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทั้งหมดพร้อม ยุติการส่งเชลยศึก 18 นายให้กับกัมพูชา
ทั้งพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังยืนยันว่า หลังจากนี้จะไม่มีการเจรจา ทั้งในระดับกระทรวงกลาโหม หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการเกิดกู้ระเบิดในพื้นที่สุดท้ายที่หลงเหลือจะดำเนินการโดยฝ่ายไทยเอง
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เองก็ระบุว่าไทยได้ส่งหนังสือประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรถึงรัฐบาลกัมพูชา พร้อมแจ้งต่อประชาคมโลก ผ่านสหรัฐฯ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นสักขีพยานในข้อตกลงโดยยืนยันว่า เหตุการณ์นี้เป็นการละเมิดถ้อยแถลงร่วมไทย–กัมพูชา และเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความเสียใจอย่างเป็นทางการ, ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
เกิดอะไรขึ้นอีก หลังไทยระงับข้อตกลง
ภายหลังการระงับข้อตกลงสันติภาพแล้ว สหรัฐฯ ที่เป็นหนึ่งในสักขีพยานในการลงนาม ก็เปิดเผยว่า สหรัฐฯ กำลังรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยเรียกร้องให้ไทย-กัมพูชารักษาเสถียรภาพและปฏิบัติตามข้อตกลง เช่นเดียวกับ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ที่อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่หวังว่าไทยและกัมพูชาจะรักษาข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งได้มาเลเซียได้ติดตามข้อมูล และหาทางช่วยเหลือ
หลังเหตุการณ์นี้ ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ ได้มีการยิงตอบโต้กันของทหารไทยและกัมพูชา ที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ซึ่งภายหลังฮุน มาเนต ผู้นำกัมพูชาก็ได้โพสต์กล่าวหาว่า ฝ่ายไทยใช้ความรุนแรงโดยปราศจากการยั่วยุต่อพลเรือนชาวกัมพูชา จนมีพลเรือนชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 3 คน และเสียชีวิต 1 คน ทั้งประณามไทยว่าละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
สถานการณ์ตอนนี้ แม้ว่าจะมีรายงานว่าโรงเรียนบริเวณชายแดน เช่น จ.ศรีษะเกษ ยังคงมีการเปิดสอนตามปกติ แต่ก็ได้เตรียมความพร้อมบังเกอร์ และการอพยพไว้ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองเห็นตรงกันว่า หากมีการปะทะเกิดขึ้น ไทยต้องให้นานาชาติรับรู้ว่า ทุ่นระเบิดที่ถูกวางนั้น เป็นของฝั่งกัมพูชา และการละเมิดนั้นมาจากกัมพูชาก่อน ซึ่งคือการใช้สิทธิในการปกป้องตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นฝั่งกัมพูชาเองก็ได้เริ่มอ้างถึงการยั่วยุจากฝั่งไทย ซึ่งนี่อาจเป็นการเริ่มต้นของทั้งสงครามข้อมูลข่าวสาร และการปะทะที่อาจรุนแรงขึ้นได้ หลังสันติภาพเพียงชั่วคราว
ล่าสุด รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก็ได้ชี้ถึงขั้นต่อไปที่รัฐบาลควรทำ โดยมองว่าการระงับข้อตกลงสันติภาพ ทำให้การแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์หยุดลงทันทีเช่นกัน ซึ่งไทยยังควรต้องแก้ปัญหานี้ และต่อจากนี้รัฐบาลควรดึงประเทศอื่นมากดดันกัมพูชา ให้โลกล้อมกัมพูชา ภาระการพิสูจน์การวางกับดักระเบิด ทุ่นระเบิด ไม่ใช่อยู่ที่ไทย แต่อยู่ที่ประเทศกัมพูชาที่ต้องเป็นผู้พิสูจน์
ซึ่งหลังจากนี้ เราต้องจับตาดูว่า สถานการณ์ความตึงเครียดนั้น จะรุนแรงขึ้นถึงเป็นการยกระดับเหมือนที่เคยเกิดช่วงการปะทะ 5 วันหรือไม่ การระงับข้อตกลง แต่ไม่ได้ยกเลิกนั้น จะทำให้การเจรจาสันติภาพกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ และสหรัฐฯ ที่มีบทบาท และใช้ภาษีต่อรองกับไทย-กัมพูชามาตลอดนั้น จะยกประเด็นนี้มากดดันสองประเทศอีกหรือไม่
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
