เจาะลึก 5 ปัจจัย ชี้ชะตา "ราคาทอง" ย่อไปต่อ หรือรอพักฐาน

ช่วงกลางดึกวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา หรือช่วงเช้าของวันอังคารถ้านับเวลาตามไทม์โซนของสหรัฐอเมริกา ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรงหลังจากทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 4,381 ดอลลาร์สหรัฐ โดยราคปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงลงมาระดับต่ำสุดที่ 4,002 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นการปรับตัวลดลงมากกว่า 8% เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบทศวรรษ
โดยเกิดทำกำไรของนักลงทุนที่มีมาอย่างต่อเนื่องหลังจากราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 60% จากต้นปี ท่ามกลางกระแสข่าวที่เริ่มส่งสัญญาณกดดันต่อราคาทอง จึงเกิดการ "Panic" ของนักลงทุนบางส่วนที่ตีความว่า ราคาทองคำได้ผ่าน "Market Peak" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และราคากำลังเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานที่อาจจะกินเวลายาวนานหลายสัปดาห์
แต่ก็มีนักลงทุนไม่น้อยที่มองว่าราคาทองยังไม่จบรอบ "ขาขึ้น" เป็นแรงขายทำกำไรในลักษณะ "Sweep liquidity" ล้างพอร์ตนักลงทุนที่เก็งกำไร หรือไล่ราคาในลักษณะ "FOMO" เกิดการ "Stop Loss" ในโซนราคาทางเทคนิค ก่อนที่นักลงทุนรายใหญ่ หรือสถาบันจะดันราคาต่อในรอบขาขึ้น
ดูเหมือนทั้ง 2 เหตุผล จะมีน้ำหนักในเชิงจิตวิทยา หรือ Sentiment ต่อตลาดทองคำไม่น้อย แต่ในเรื่องของ "ปัจจัยพื้นฐาน" ยังคงมีความสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำ ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำหลังจากนี้ประกอบไปด้วย
1.ความชัดเจนของความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือ ภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งต้องยอมรับว่าในปัจจุบันทั้ง 2 สมรภูมิที่เกิดการสู้รบกัน ไม่ว่าจะเป็น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดุเดือดเหมือนในช่วงแรก แต่ความขัดแย้งเหล่านั้นยังคงอยู่ ความเสียหาย ร่องรอยบาดแผลของสงครามยังไม่ได้รับการเยียวยา
ถึงแม้ว่าจะมีกระแสข่าวของการเตรียมตัวที่จะพบกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และวลาดิเมียร์ ปูติ ประธานาธิบดีของรัสเซีย ในการประชุมสุดยอดที่ฮังการีซึ่งต่อมามีการยกเลิกแผนการประชุมดังกล่าว ภายหลังจากสหรัฐฯพยายามกดดันให้ยูเครนยอมยกดินแดนบางส่วนให้กับรัสเซียเพื่อแลกกับการยุติสงคราม ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความไม่พอใจให้กับยูเครน
ขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ฉนวนกาซา ยังคงคุกรุ่นด้วยไฟสงคราม ถึงแม้ว่าเริ่มมีข้อตกลงบางส่วนในการเจรจาหยุดยิง และมีการปล่อยตัวประกัน แต่สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือชาติตะวันตกหลายชาติเริ่มที่จะปฏิเสธอิสราเอล หลังสงครามยืดเยื้อยาวนาน เกิดกระแสการรับรอง "รัฐปาเลสไตน์" ซึ่งจะยิ่งเติมเชื้อไฟในสงครามครั้งนี้
2.ความชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน สถานการณ์นี้ยังคงสร้างความกังวลให้กับการค้าโลกอย่างชัดเจน "สงครามภาษี" พร้อมที่จะเกิดระลอกสองได้เสมอ ความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติในประเด็นของ "แร่หายาก" ยังคงอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาลุกลามไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในอนาคต
และถึงแม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ คาดการณ์ว่า การพบปะที่อาจจะมีขึ้นกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จะนำมาซึ่งข้อตกลงที่ดีด้านการค้า ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าอาจต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วยว่า การเจรจาที่หลายฝ่ายเฝ้าจับตาอยู่นี้อาจไม่เกิดขึ้นจริงก็ได้ สร้างความกังวลให้กับเศรษฐกิจโลกต่อไป
3.แรงซื้อของธนาคารแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ที่ผ่านมามีแรงซื้อสะสมทองคำจากธนาคารกลางหลายประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีนที่ซื้อทองคำเพิ่มต่อเนื่องถึง 11 เดือนติดต่อกัน รวมถึงอินเดีย และบราซิล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกในกลุ่ม "BRICS" ที่อาจจะเป็นการส่งสัญญาณที่รุนแรงขึ้นสำหรับการสร้างอำนาจเศรษฐกิจขั้วใหม่ ที่มองข้าม "ดอลลาร์สหรัฐฯ"
แน่นอนว่าถ้าธนาคารกลางในหลายประเทศยังคงสะสมทองคำมากกว่าการเทขายทองคำออกมา แนวโน้มของราคาทองก็ยังคงเป็นขาขึ้น แต่ถ้าเกิดทิศทางการชะลอตัวของการสะสม กลับฝั่งเป็น "เทขาย" ราคาทองคำก็มีโอกาสทรุดลงต่อเนื่องได้
4.ทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเป็นขาลง ปัจจัยนี้ค่อนข้างที่จะสนับสนุนราคาทองคำ และสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงการถือครองทองคำก็จะมีต้นทุนการถือครองที่ลดลง รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่น หุ้น หรือคริปโทเคอร์เรนซี่ ก็จะกลับมาโดดเด่นด้วยเช่นกัน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้รวม 50 เบสิสพอยท์ และลดในปีหน้าอีกราว 75 เบสิสพอยท์
รวมถึงกระแสการยุติการทำ Quantitative Tightening หรือ QT ของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อลดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ โดยการลดขนาดงบดุล และอาจจะเข้าสู่ระบบของการทำ Quantitative Easing หรือ QE แทน ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าในทุกครั้งที่มีการทำ QE ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
และปัจจัยสุดท้าย ปัจจัยที่ 5 คือ เงินในระบบที่ล้นอยู่ในปัจจุบัน ประกอบกับสถานการ "there is no alternative" หรือทางเลือกที่มีไม่มากนักในปัจจุบัน เงินจำนวนมากในระบบ จำเป็นที่จะต้องหาที่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าสินทรัพย์ลงทุนในปัจจุบัน ถึงแม้จะมีผลิตภัณฑ์มากมายที่เชื่อมโยงกับทุกสินทรัพย์หลัก
แต่ทองคำยังคงมีความสำคัญทั้งการเป็นทุนสำรอง เป็น Safe Heaven และยังมีความต้องการใช้จริง หรือ Real Demand ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้เม็ดเงินในระบบจำนวนไม่น้อย "ที่ไม่มีทางเลือก" ก็อาจจะไหลเข้าสู่ทองคำอย่างต่อเนื่อง
ราคาทองคำหลังจากนี้จะมีทิศทางเป็นอย่างไร คงหนีไม่พ้น 5 ปัจจัยดังที่กล่าวมา ซึ่งถ้าปัจจัยส่วนใหญ่มีทิศทางที่ไม่สนับสนุนทองคำอีกแล้ว สงครามสงบ การเจรจาการค้าราบรื่น เศรษฐกิจกำลังจะกลับสู่ช่วงเวลาของการเติบโตชัดเจน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา สภาพคล่องพ้นจากระดับที่ตึงตัว เฟดไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยอีกแล้ว การทำ QE ไม่เกิดขึ้น สภาพคล่องที่ล้นระบบหันเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น คริปโทเคอร์เรนซี เพราะคาดว่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่าทองคำ
ถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นพร้อมกัน "ทองคำ" ก็คงหมดความสำคัญไปไม่น้อย แต่...เหตุการณ์ที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นพร้อมกันนั้น มีความเป็นไปได้แค่ไหน เพราะถ้าไม่มีอะไรแน่นอน "ทองคำ" ก็ยังคงมีความสำคัญต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
