อนามัยโลก-ยุโรปชี้ ‘โควิดเดลตา’ จะกลายเป็นสายพันธุ์ระบาดหนักใน2-3เดือนข้างหน้า
วันนี้ ( 24 ก.ค. 64 )องค์การอนามัยโลก ( WHO ) กับ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป ( ECDC ) ออกรายงานร่วมกันฉบับหนึ่งระบุว่า เดลต้า สายพันธุ์ของโควิด-19 ที่สามารถแพร่เชื้อและทำให้ติดเชื้อได้เร็ว ถูกคาดหมายว่า จะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักที่ระบาดอย่างหนักในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า รายงานแจ้งต่อไปว่า ในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ตั้งแต่ 28 มิถุนายน ถึง 11 กรกฏาคม ปรากฏว่า สายพันธุ์เดลตา กลายเป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดอย่างรวดเร็วใน 19 ประเทศ
จากสถานการณ์การระบาดในตอนนี้ สายพันธุ์เดลต้า จะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งพบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศยุโรปเกือบทั้งหมดแล้ว รายงานยังชี้ด้วยว่า สายพันธุ์เดลตา จะยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีสายพันธุ์อื่นขึ้นมาแทนที่
ก่อนหน้านี้ โรเชลล์ วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ CDC เปิดเผยว่า โควิดกลายพันธุ์ “เดลตา” เป็นหนึ่งในไวรัสโรคระบบทางเดินหายใจ ที่ติดต่อกันได้ง่ายที่สุด เท่าที่เราเคยรู้จักกันมา และเท่าที่เธอเคยพบเจอมาตลอดชีวิตของการทำงาน 20 ปี
ผู้อำนวยการ CDC กล่าวต่อไปว่า เดลตามีความร้ายกาจมากกว่า และติดต่อได้ง่ายกว่าโควิดสายพันธุ์ก่อน ๆ ที่เคยระบาดมาก่อนหน้านี้ และการระบาดของโควิดในสหรัฐฯ ยังไม่จบสิ้นลง ขณะเดียวกัน CNBC เผยผลการศึกษาล่าสุดพบว่า คนที่ติดเชื้อเดลตา ได้รับการตรวจพบว่า มีเชื้อเดลตาอยู่ในจมูกมากกว่า 1,000 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์แรก
ด้านผู้เชี่ยวชาญหลายคนในสหรัฐฯ เตือนว่า สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่สุดอีกครั้ง สำหรับระบาดของโควิด-19 หลังจากที่เดลตากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ ขณะนี้ เดลตาได้กลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลักที่ระบาดในสหรัฐฯ ไปแล้ว โดย 4 ในทุก ๆ 5 คนของผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในสหรัฐฯ เป็นการติดเชื้อเดลตา เดลตายังทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายวันในสหรัฐฯ เพิ่งพุ่งสูงทะลุระดับ 40,000 คนอีกครั้งเมื่อวันพฤหัส (22 กรกฎาคม) ไปอยู่ที่ 41,400 คน หรือเพิ่มขึ้นถึง 195% จากเพียงเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน และทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรายวันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 42% ไปอยู่ที่ 607 คน รวมทั้งทำให้จำนวนผู้ป่วยโควิดที่อาการหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เพิ่มขึ้น 46%