หุ้นไทยดิ่ง ปิดลบ 23.03 จุด ถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ บวกติดวันหยุดทำให้แรงซื้อแผ่วลง
วันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ1,301.66 จุด ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,295.47 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,278.63 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 23.03 จุดหรือ 1.77% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,289.09 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,278.50 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่51,384.94 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 409.10 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 19.93 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 4,604.90 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ4,175.87 ล้านบาท
โดยนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ปิดในแดนลบอย่างร้อนแรง โดยสาเหตุมาจากวานนี้ (4 พฤษภาคม) ตลาดหุ้นเอเชียปรับลดลงสูงมากเพราะมีความกังวลในส่วนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งปัจจัยกระทบเดิม ที่สร้างความกังวลว่า หากคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ รวมถึงได้รับแรงกดดันหลักๆ มาจากปัจจัยที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ออกมาขู่ว่าจะเก็บภาษีจากจีนเพิ่มเติม เพื่อตอบโต้การที่จีนเป็นต้นเหตุของโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งอาจกลายเป็นประเด็นในการเกิดสงครามการค้า(เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐและจีน รอบใหม่ เมื่อทั้ง 2 ประเด็นผสมกัน ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับลดลกว่า 3% ในข่วงวานนี้ แต่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงเพียง 1.7% กว่า ก็ถือว่าไม่ได้แย่มาก และใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ที่ปรับลดลงในระดับไม่แตกต่างกัน
“ในส่วนของบ้านเรายังไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มเติม ทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ไม่ได้มีอะไรออกมาน่าจับตามองเป็นพิเศษ โดยตลาดหุ้นไทย ยังติดตรงที่มีวันหยุดยาวกว่าปกติ เปิดวันสลับหยุดอีกวัน ทำให้แรงซื้อยังไม่กลับมาส่วนในปลายสัปดาห์ก์เปิดอีก 2 วันก็ปิดวันเสาร์และอาทิตย์อีก ทำให้ประเมินว่าแรงซื้อน่าจะกลับมาอีกครั้งในช่วงสัปดาห์หน้ามากกว่า สะท้อนได้จากมูลค่าการซื้อขายที่แผ่วลง สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ ให้เน้นเลือกหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ออกมาดี รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัวได้ อาทิ ปตทสผ. ท็อป เอสพีอาร์ซี เอสโซ่ ซีพีเอฟ บีเจซี และแม็คโคร” นายณัฐพลกล่าว