เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

ทันหุ้น – บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index แกว่งตัว Sideways บริเวณ 1,260+- จุด หลังจากตอบรับปัจจัยบวกจากถ้อยแถลงของประธาน FED ที่ส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและยืดหยุ่นมากขึ้นไปแล้ว ขณะที่ตลาดยังรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจทั้งเงินเฟ้อ PCE ปลายสัปดาห์และการจ้างงานสัปดาห์หน้า
ส่วนในประเทศยังรอการตัดสินคดีคลิปเสียงนายกฯ ภาพรวมตลาดย่อยประเด็น FED มากขึ้น โดยปัจจุบันตลาดยังประเมินโอกาส 83% และมองปรับลดอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังจะประกาศโดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ส.ค. สัปดาห์หน้า หากออกมาต่ำต่อเนื่อง เชื่อว่าตลาดมีโอกาสปรับเพิ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยอีกครั้ง
ด้านตัวเลขส่งออกไทยเดือน ก.ค. +11% y-y ดีกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ +15.5% y-y และคาดว่าจะเห็นการชะลอลงต่อเนื่องในเดือน ส.ค. ซึ่งภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% เริ่มมีผล เรายังประเมินปัจจัยที่กำหนดทิศทาง SET Index ยังอยู่ที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคดีคลิปเสียงนายกฯในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. นี้ เวลา 15.00 น. หากออกมาในเชิงบวกและไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล เราคาดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นทดสอบ High เดิมจากการดำเนินนโยบายเพื่อหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่จะไม่สะดุด แต่หากออกมาเป็นลบซึ่งนายกฯจะพ้นจากตำแหน่งและทำรัฐมนตรีต้องพ้นด้วยทั้งคณะ หากมีแนวโน้มที่จะเลือกนายกฯและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ยืดเยื้อ จะเป็นปัจจัยกดดันให้ดัชนีย่อตัว ภาพรวมเรายังมองหุ้นที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า เทคโนโลยี ค้าปลีก REIT เป็นต้น จะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2H25 ที่ยังแข็งแรงท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอ
หุ้นเด่นเดือน ส.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MTC, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, STECON
หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท
- เราคาดโมเมนตัมกำไร 3Q25 แม้อาจชะลอ q-q ตามปัจจัยฤดูกาลเนื่องจากเป็นหน้าฝน แต่คาดยังสามารถเติบโต y-y ได้ ด้าน SSSG เดือน ก.ค.-ส.ค. ล่าสุดยังทรงตัว y-y แต่ยังได้แรงหนุนจาก Margin ที่ยังแข็งแกร่งจากสัดส่วนสินค้าอาหารพร้อมทานที่ยังเพิ่มขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นมีกลยุทธ์ควบคุมที่ดีและได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง
- ผลกระทบจากปัญหาไทย-กัมพูชายังไม่มีนัยฯ ปัจจุบันกลับมาเปิดสาขาหมดแล้ว ขณะที่แผนอนาคตหากได้ economy of scale จะเริ่มมีการสร้าง integrated supply chain มากขึ้นในกัมพูชา เรายังคาดกำไรปี 2025 ที่ 2.85 หมื่นลบ. เติบโตแข็งแกร่ง +12% y-y ราคาหุ้นเทรด PER เพียง 14.5 เท่า
- แนวรับ 45-44.75 บาท แนวต้าน 46.75-47//48-48.50 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวน แต่มีโอกาสเดินหน้าต่อ จากนักลงทุนมองว่า Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ย จีนกลับมาเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดสะท้อนข่าวลบไปมาก แต่นักลงทุนบางส่วนจะรอดูการตัดสินของศาลรัฐธรรรมนูญปลายสัปดาห์นี้
ปัจจัยต่างประเทศ
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แผ่วลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น (Bond Yield 10 ปี 4.28%) เนื่องจากคาดหวังเรื่องลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ลดลงเล็กน้อย ก่อนที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ รวมถึง การให้ข่าวของกรรมการ Fed ในระหว่างสัปดาห์
- ประธานาธิบดีทรัมป์ สั่งปลด ลิซา คุก ออกจากตำแหน่งกรรมการของ Fed โดยมีผลทันที หลังจากมีข้อกล่าวหาว่าเธอปลอมแปลงเอกสารในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย (mortgage) ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ Dollar Index , อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า S&P 500 ปรับตัวลดลง
- กระแสเงินทุนกลับมา net buy ตามคาด: Fund Flow ตลาดหุ้นเอเซียมีการขายบางประเทศ โดยมีการซื้อกลับที่ตลาด ไต้หวัน และเกาหลีใต้ น่าจะตามแรงซื้อหุ้นกลุ่ม Tech ส่วน อินเดีย ยังมีเงินไหลเข้าอยู่
- จีนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ รอบนี้เริ่มที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของจีน ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การซื้อบ้านเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา โดยอนุญาตให้ผู้มีสิทธิ์ รวมถึงผู้ที่ไม่ได้อาศัยในเซี่ยงไฮ้ สามารถซื้อบ้านในเขตชานเมืองได้ไม่จำกัดจำนวน….. ข่าวนี้ น่าจะช่วยยืนยันว่า นักลงทุนมีการเข้ามาเก็งกำไรในเรื่องนี้ในช่วงก่อนหน้านี้ และทำให้ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน(ตัวเลขไม่ดี) ลดลง เป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยหุ้นที่อยู่ใน A-share คาดจะได้อานิสงค์จากข่าวนี้
- การหารือข้อตกลงเพื่อนสันติภาพของรัสเซียและยูเครน เป็นที่น่าจับตามอง คาดมีการเจรจาร่วมกันระหว่างรัสเซียและยูเครนเร็วๆ นี้ โดยมีสหรัฐฯ เป็นกลาง ทั้งนี้ รัสเซียยังโจมตียูเครนอยู่เป็นระยะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเจรจา …. หากข้อตกลงยุติสงครามลุล่วงจะเป็นผลบวกอย่างมากต่อตลาดหุ้นยุโรปและหุ้นไทยที่มีรายได้จากยุโรป
- มาตรการการค้าของสหรัฐฯ : ตลาดกำลังรอบทสรุปของสหรัฐฯ กับจีนและอินเดีย ภาษีนำเข้ามีแนวโน้มประกาศใช้รายสินค้ามากขึ้น โดย sector ที่เป็นเป้าหมายของทรัมป์ ได้แก่ เหล็ก, อะลูมิเนียม, ทองแดง, รถยนต์ยา, เซมิคอนดักเตอร์, เครื่องบิน, แร่ธาตุที่สำคัญ, รถบรรทุกขนาดกลาง, เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการนำเข้าพลังงานลม
ปัจจัยในประเทศ :
- การเมือง : ติดตามคำตัดสินคดีคลิปเสียงนายกฯ ศุกร์นี้(29 ส.ค.) หลังตลาดมีบรรยากาศเชิงบวกต่อคำตัดสินยกฟ้องของคดี ม.112 นายทักษิณ ชินวัตร คาดผลคดีนายกฯ อาจออกมาไม่แย่จนเกิน โดยเรามองทางเลือกที่จะส่งผลดีต่อตลาดคือ ลาออกออก ส่วนรอฟังผลคำตัดสิน ตลาดจะไปขึ้นกับผลที่ออกมาในวันนั้น(29 ส.ค.) โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์หากการเมืองออกมาดี ADVANC, GULF, DELTA และกลุ่มธนาคาร (SCB, KTB) ขณะที่ดัชนีฯ อาจกลับไปทดสอบเป้า 1280 ได้อีกครั้ง
- Thailand Focus 2025 เริ่มพรุ่งนี้ (27-29 ส.ค.) มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมกว่า 76 บริษัท ซึ่งโดยปกติแล้วในปีที่ผ่านมาหลังจบงาน Thailand Focus มีโอกาสสูงที่ดัชนีฯ จะปรับตัวขึ้น
- MSCI Rebalance: MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นเข้า-ออกและปรับน้ำหนักดัชนีฯ รอบใหม่ มีผล ณ ราคาปิดวันนี้(26 ส.ค.) โดยประกาศดัชนี Global Standard Index หุ้นเข้า: ไม่มี หุ้นออก: HMPRO, OR และดัชนี Global Small Index หุ้นเข้า: HMPRO, KTC หุ้นออก: SISB, TPIPL, ICHI
- FTSE Global Equity Index Series ประกาศหุ้น เข้า-ออก จากการคำนวณดัชนีฯ โดยจะใช้ราคาปิด วันที่ 19 ก.ย.68 เพื่อทำการ rebalance โดย CPAXT ถูก ย้ายจาก Large Cap ไป Mid Cap ขณะที่ BGRIM, SAWAD ถูกย้ายจาก Mid Cap ไปสู่ Small Cap
- Event วันนี้ : การประชุม ครม.
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,250 – 1,255 แนวต้าน 1,270 คาดดัชนีทรงตัวระหว่างรอศาล รธน.วินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายก ฯ ในวันศุกร์นี้ แนะนำทยอยซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว GULF, GPSC, BGRIM, AEONTS, MTC, TIDLOR เป็นกลุ่มที่ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง / กลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT, CRC, CPN เป็นกลุ่ม Laggard ที่มี Downside Risk ต่ำ และยังอาจได้ปัจจัยหนุนจาก ม.กระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
PLANB* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.10 บาท) ประกาศกำไร 2Q68 ที่ 280 ลบ. +40%QoQ, +3%YoY รายได้สื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) เติบโตดี utilization rate ที่ 73% คาด 3Q68 กำไรยัง +QoQ OOH ยังดีต่อเนื่องจาก utilization rate ที่ยังมากกว่า 70% และยังมีบันทึกรายได้จากการเข้าถือ Hello LED ในสัดส่วน 50% ตั้งแต่ 1 ส.ค. และการรับรู้รายได้บริหารสื่อ EPL ร่วมกับ JAS และ MONO ตั้งแต่ ส.ค.68 บริษัทคงเป้ารายได้ปี 68 โต 5-6% Gross Margin ที่ 30% SG&A ที่ 13-14% IAA consensus คาดกำไรปี 68 ที่ 1,145 ลบ. +8%YoY
ITC* (ซื้อเก็งกำไร/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 16.37 บาท) กำไรสุทธิ 2Q68 อยู่ที่ 696 ลบ.(-31%YoY, +3%QoQ) QoQ มีแรงหนุนในเชิง Volume ตามฤดูกาลและต้นทุนปลาทูน่าที่ปรับลดลง แต่ YoY กดดันจากรายได้ที่อ่อนตามบาทที่แข็งค่า, Product Mix ที่มีสัดส่วนสินค้าPremium ลดลง, และค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยกดดันอย่างภาษีทรัมป์มีความชัดเจนขึ้นส่งผลให้ความเสี่ยงลดลง ขณะที่ 3Q68 คาดว่าว่ารายได้ยังอยู่ในทิศทางที่ดีต่อจากยังเป็นฤดูกาลขาย มูลค่าการส่งออกของไทยก.ค.68(หน่วย usd) อาหารสุนัขและแมว +9%YoY, +14%MoM ปัจจุบัน ตลาดคาดว่าในปี68 และ69 กำไรสุทธิของ ITC* จะอยู่ที่ 3,065 ลบ.(-15%YoY) และ 3,375 ลบ.(+10%YoY) ตามลำดับ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
