รีเซต

จีนเครมเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 บินผ่านช่องแคบสึชิมะ เรดาร์ THAAD สหรัฐฯ ตรวจไม่พบ

จีนเครมเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 บินผ่านช่องแคบสึชิมะ เรดาร์ THAAD สหรัฐฯ ตรวจไม่พบ
TNN ช่อง16
31 กรกฎาคม 2568 ( 18:08 )
36

สถานีโทรทัศน์ของรัฐ CCTV ของจีน รายงานว่าเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ที่ทันสมัยที่สุดอย่าง J-20 (Mighty Dragon) ได้ปฏิบัติภารกิจบินผ่านช่องแคบสึชิมะ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่แบ่งแยกระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และช่องแคบบาชิ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างฟิลิปปินส์กับไต้หวันเป็นครั้งแรก

ช่องแคบสึชิมะ จุดยุทธศาสตร์สำคัญระหว่าง จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

จีนเครมเครื่องบินไล่ล่องหน J-20 ไม่ถูกตรวจพบ

โดยสื่อรัฐบาลจีนเน้นย้ำ คือ แม้เครื่องบินจะบินผ่านพื้นที่ซึ่งมีการเฝ้าระวังทางทหารอย่างหนาแน่น แต่กลับไม่มีรายงานการตรวจจับจากกองกำลังของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการอ้างถึงความสามารถในการพรางตัว (Stealth) ของเครื่องบิน J-20 ที่สามารถหลบเลี่ยงระบบเรดาร์ที่ทรงพลังในภูมิภาคได้

สำหรับช่องแคบสึชิมะนั้นอยู่ในรัศมีการตรวจจับของเครือข่ายเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศที่ซับซ้อน ซึ่งรวมถึงระบบต่อต้านขีปนาวุธ THAAD ของสหรัฐฯ ที่ติดตั้งในเกาหลีใต้ และระบบ Patriot ของทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น 

การที่สื่อรัฐบาลจีนอ้างว่า J-20 ไม่ถูกตรวจจับจึงเป็นการแสดงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเทคโนโลยีการทหารของตนเอง ทั้งนี้ รายงานระบุว่าภารกิจดังกล่าวปฏิบัติการโดยกองพลรบที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยบินชั้นยอดของกองทัพอากาศจีน และเป็นหน่วยแรกที่ได้รับมอบเครื่องบิน J-20 เข้าประจำการ

การเผชิญหน้ากับเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-35

เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับการเผชิญหน้าระหว่าง J-20 และเครื่องบินรบต่างชาติ ซึ่งคาดว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-35 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จีนนำ J-20 มาใช้ในภารกิจลาดตระเวนและสกัดกั้นเชิงรุกมากขึ้น  

การบินของเครื่องบินขบไล่ล่องหน J-10 ในครั้งนี้ของจีน ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของช่องแคบสึชิมะและช่องแคบบาชิ หากเกิดกรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับไต้หวันขึ้นในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานแน่ชัดว่าการเผชิญหน้าของเครื่องบินขับไล่ J-20 และ F-35 เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการบินผ่านช่องแคบสึชิมะ ครั้งนี้ของจีนหรือไม่

ปัจจุบัน กองทัพอากาศจีนกำลังขยายฝูงบินขับไล่ล่องหน J-20 อย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่ามีเครื่องบินประจำการแล้วราว 170-230 ลำ และอาจมีถึง 400 ลำภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้จีนมีฝูงบินล่องหนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยอัตราการผลิตปีละประมาณ 120 ลำ 

นอกจากนี้ จีนยังพัฒนาเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 อีกหลายรุ่น รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของเรดาร์ AESA ให้มีระยะตรวจจับไกลขึ้น และมีแผนจะปรับปรุงให้สามารถบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ได้ในอนาคต 

โดยกองทัพจีนสงวนเครื่องบิน J-20 ไว้ใช้เฉพาะในกองทัพของตนเองเท่านั้นไม่ส่งออกขาย เหมือนกับที่สหรัฐฯ ทำกับเครื่องบิน F-22 Raptor ยิ่งเป็นการบ่งชี้ว่าจีนมองว่า J-20 คือ สุดยอดอาวุธทางอากาศที่เป็นความลับสุดยอดของประเทศ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง