ซีอีโอ "Nvidia" ผิดหวังจีนแบนชิป AI ท่ามกลางศึกการเมือง

CNBC รายงานว่า เจนเซ่น หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nvidia ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน กล่าวระหว่างการพบปะสื่อมวลชนที่กรุงลอนดอนว่า รู้สึกผิดหวังต่อรายงานของ Financial Times ซึ่งอ้างว่า สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) ได้ออกคำสั่งห้ามบริษัทสำคัญ เช่น ByteDance และ Alibaba ซื้อชิปประมวลผลปัญญาประดิษฐ์รุ่น RTX Pro 6000D ของ Nvidia ที่ผลิตขึ้นสำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ

เจนเซ่น หวง ยอมรับว่าธุรกิจของ Nvidia ในจีนตลอดหลายปีที่ผ่านมามีความผันผวนไม่ต่างจาก "รถไฟเหาะ" และได้ขอให้นักวิเคราะห์ทางการเงินตัดปัจจัยจากตลาดจีนออกจากการประเมินรายได้ เพราะเป็นประเด็นที่ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และจีนมากกว่าปัจจัยทางธุรกิจโดยตรง

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการส่งออกชิป AI ระดับสูงไปยังจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ส่งผลให้ Nvidia ต้องพัฒนาชิปเวอร์ชันลดสเปกอย่าง H20 สำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ แต่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำเนียบขาวได้ประกาศข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับ Nvidia ที่อนุญาตให้ส่งออกชิป H20 ได้ โดยมีเงื่อนไขว่ายอดขายร้อยละ 15 ของจีนต้องถูกแบ่งให้รัฐบาลสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดจากทางการจีนสะท้อนแรงกดดันรอบใหม่ต่อ Nvidia ไม่เพียงแค่การห้ามซื้อชิป AI เท่านั้น แต่เมื่อต้นสัปดาห์ หน่วยงานกำกับดูแลตลาดของจีน (SAMR) ยังได้เปิดการสอบสวนด้านการผูกขาด กรณีการเข้าซื้อกิจการ Mellanox บริษัทด้านโซลูชันเครือข่ายของอิสราเอลที่ Nvidia เคยเข้าซื้อไปก่อนหน้านี้

ท่ามกลางแรงกดดันจากจีน หวง ยังคงย้ำถึงความสำคัญของตลาดเอเชียรายใหญ่นี้ โดยชี้ว่าตลาดจีนมีขนาดใหญ่และมีอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีชีวิตชีวา ขณะเดียวกัน Nvidia ก็ยังคงให้การสนับสนุนทั้งบริษัทจีนและรัฐบาลสหรัฐฯ ไปพร้อมกัน

ในอีกด้านหนึ่ง Nvidia ก็ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในยุโรป โดยในวันอังคารที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศลงทุนกว่า 11,000 ล้านปอนด์ หรือราว 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อย่าง Microsoft, Google และ Salesforce ที่ต่างประกาศเม็ดเงินลงทุนในอังกฤษเช่นกัน

ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจโลกยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดรั้งธุรกิจของ Nvidia ในจีน แต่การขยายการลงทุนในภูมิภาคอื่นอาจช่วยสร้างสมดุลและเปิดโอกาสใหม่ในการเติบโตของผู้นำอุตสาหกรรมชิประดับโลกอย่าง Nvidia