KCC ปรับโฉมใหม่ นั่งโฮลดิ้งลุยซื้อหนี้

KCC ปรับโครงสร้างธุรกิจเป็นโฮลดิ้ง คาดแล้วเสร็จปี 2567 เพิ่มความคล่องตัว ขยายช่องทางซื้อหนี้หลากหลาย เพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น แย้มแผนซื้อหนี้ทั้งปี 2 พันล้านบาท โชว์พอร์ตลูกหนี้ไตรมาสแรกที่ 1.52 พันล้านบาท
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจัดตั้งบริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ KCC เป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2567
** ปรับโครงสร้าง
ขณะที่การปรับโครงสร้างครั้งนี้ บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทโฮลดิ้งจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัท ในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญของบริษัท ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้ง และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทโฮลดิ้งเสร็จสิ้น จะนำหุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) แทนหุ้นสามัญของบริษัท หรือ KCC ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และ KCC จะถือหุ้นเกือบ100% โดยบริษัทโฮลดิ้ง
สำหรับวัตถุประสงค์การยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้ง คือ 1.เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ ลดข้อจำกัดด้านการลงทุน โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัท เพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
2.เพื่อให้สามารถแบ่งแยกขอบเขตการบริหารธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์เดิมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท
** ขยายธุรกิจใหม่
3.เพื่อให้สามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้แต่ละธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีให้กับกลุ่มบริษัทในอนาคต
4.เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจเนื่องจากแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขอบเขต หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละสายงานได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้การยกฐานะขึ้นเป็นโฮลดิ้งจะทำให้มีความคล่องตัว สามารถลงทุนซื้อหนี้จากบุคคลและนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะหนี้จากสถาบันการเงินเท่านั้น ในการปรับโครงสร้างหนี้โดยการฟื้นฟูกิจการ จะมีหนี้อื่นๆ เช่น หุ้นกู้ หนี้การค้า ซึ่งโดยมากจะถือโดยนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ซึ่ง AMC ไม่สามารถเข้าไปซื้อได้ การปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้งจึงทำให้บริษัทสามารถขยายช่องทางในการซื้อหนี้ได้มากขึ้น เพราะบริษัทมีความชำนาญในเรื่องของการซื้อหนี้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี KCC จะยังคงเน้นธุรกิจ AMC ที่บริษัทมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จมายาวนานเป็นหลัก ตามทิศทางการเปิดประมูลหนี้ของสถาบันการเงินยังที่มีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทก็เห็นโอกาสเข้าไปประมูลหนี้ที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายที่เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น
** ลุยซื้อหนี้เต็มที่
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทวางงบลงทุนเพื่อซื้อหนี้จำนวน 900 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนใช้เงิน 400-500 ล้านบาท คาดว่าจะซื้อมูลค่าหนี้เข้ามาประมาณ 2,000 ล้านบาท และมองว่าจำนวนมูลหนี้ในตลาดปี 2566 จะมีเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีปริมาณหนี้ที่บริษัทได้ถูกเชิญเข้าร่วมประมูลกว่า 95,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีเพิ่มอีก 30,000-40,000 ล้านบาท จึงมองว่ามูลค่าหนี้ทั้งหมดในปี 2566 นี้จะทะลุ 100,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากธุรกิจ SME , โรงงานอุตสาหกรรมส่งออก รวมถึงโรงแรมขนาดเล็ก เป็นต้น
ปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2566 บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้รวม 1,526.7 ล้านบาท ส่วนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ NPLs เพิ่มขึ้น 194 ล้านบาทหรือ 15% จากสิ้นปี 2565 เนื่องจากมีพอร์ตหนี้ใหม่เพิ่มขึ้น 184 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ องค์กร (Corporate) คิดเป็น 69% ลดลงจากสิ้นปี 2565 ที่ 76% ของลูกหนี้
บริษัทคาดว่าการเติบโตในปี 2566 จะมีผลการดำเนินงานเติบโตจากปี 2565 ราว 30% และตั้งเป้าพอร์ตหนี้เติบโตแตะ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% ในช่วง 3 ปี (2667-2569)