ทำไมคนไทยอยากได้นายกฯ ที่มาจากนักธุรกิจ มากกว่านักการเมืองอาชีพ?

เผยเหตุผลคนไทยเลือกนักธุรกิจ มากกว่านักการเมืองเป็นผู้นำ
ผลสำรวจของนิด้าโพลในหัวข้อ “สนใจไหม นายกใหม่ พรรคการเมืองใหม่” กลายเป็นชนวนให้เกิดการถกเถียงทันที เมื่อผลลัพธ์บ่งชี้ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยเชื่อมั่นในนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการใหญ่ มากกว่านักการเมืองอาชีพ ในฐานะตัวเลือกที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ ตัวเลขที่ออกมาชี้ชัดว่า ร้อยละ 32.44 ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการใหญ่ ขณะที่กลุ่มทหารยังคงได้คะแนนนิยมสูงถึงร้อยละ 24.05 นักการเมืองอาชีพระดับชาติมีเพียงร้อยละ 19.54 ส่วนกลุ่มนักกฎหมาย เช่น ทนายความ อัยการ และผู้พิพากษาอยู่ที่ร้อยละ 16.26 และข้าราชการร้อยละ 16.11 ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เพียงสะท้อนความนิยมในตัวบุคคล แต่สะท้อนความต้องการผู้นำที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงในสายตาประชาชน
ความนิยมที่เทไปทางนักธุรกิจดูเหมือนจะโยงโดยตรงกับสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ ค่าครองชีพสูง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งขึ้นไม่หยุด และความไม่แน่นอนของการลงทุน ทั้งภายในและต่างประเทศ ทำให้หลายคนเชื่อว่าผู้ที่ผ่านการบริหารกิจการขนาดใหญ่จะมีทักษะจัดการปัญหาเศรษฐกิจได้ตรงจุดมากกว่า พวกเขาไม่ได้ถูกผูกพันด้วยกลไกพรรคการเมืองหรือเกมต่อรองที่กินเวลายาวนาน จึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่สามารถลงมือแก้ไขได้จริงโดยไม่ติดขัดข้อจำกัดเดิมๆ
อีกเหตุผลที่ประชาชนจำนวนมากมองไปที่นักธุรกิจคือภาพลักษณ์ของความเป็นมืออาชีพ คนที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจมักถูกเชื่อมโยงกับความสามารถในการตัดสินใจ การแก้ปัญหาซับซ้อน และการวางกลยุทธ์ที่แม่นยำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หลายคนอยากเห็นในผู้นำประเทศ ความเชื่อนี้ยังพ่วงมาด้วยความคาดหวังว่านักธุรกิจอาจ “ไม่ติดหนี้บุญคุณทางการเมือง” และมีอิสระในการบริหารมากกว่านักการเมืองที่อยู่ในระบบซึ่งเต็มไปด้วยข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
ในอีกมุมหนึ่ง ความนิยมที่ยังคงมีต่อทหารในสัดส่วนถึงร้อยละ 24.05 บ่งชี้ว่าภาพลักษณ์กองทัพยังคงฝังรากลึกในสังคม แม้จะผ่านมากว่าสิบปีนับจากการรัฐประหาร ความคุ้นชินกับบทบาทของทหารในช่วงวิกฤตยังทำให้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่ากองทัพสามารถสร้างความเด็ดขาดและมั่นคงได้มากกว่ากลุ่มอื่น
สำหรับนักการเมืองอาชีพ คะแนนที่ได้เพียงร้อยละ 19.54 อาจสะท้อนถึงความลังเลใจของผู้คน แม้จะเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์โดยตรงในการบริหารประเทศ แต่ความไม่พอใจที่สะสมมาจากความขัดแย้งยืดเยื้อและการบริหารที่ถูกวิจารณ์ซ้ำซากทำให้หลายคนมองหาทางเลือกใหม่ที่อยู่นอกกรอบการเมืองแบบเดิม
น่าสนใจว่าผลสำรวจยังสะท้อนถึงความคาดหวังด้านอายุของผู้นำ โดยกลุ่ม Gen X อายุระหว่าง 45 ถึง 60 ปี ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดถึงร้อยละ 65.57 รองลงมาคือกลุ่ม Millennials หรือ Gen Y ที่มีอายุระหว่าง 29 ถึง 44 ปี ได้ร้อยละ 24.96 ส่วน Baby Boomers และ Silent Gen อยู่ในระดับต่ำกว่า 10% ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่าประชาชนต้องการผู้นำที่มีทั้งประสบการณ์และความสดใหม่ในเวลาเดียวกัน
ทั้งหมดนี้เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามสำคัญว่า ประสบการณ์ในโลกธุรกิจที่ถูกยกขึ้นมาเป็นจุดแข็ง สามารถแปลงเป็นความสามารถในการบริหารประเทศจริงหรือไม่ การจัดการบริษัทกับการจัดการรัฐชาติที่มีความซับซ้อนทางการเมือง สังคม และกฎหมาย แตกต่างกันมากเพียงใด และถ้าวันหนึ่งนักธุรกิจที่ประชาชนคาดหวังต้องเข้าสู่เกมการเมืองจริงๆ พวกเขาจะสามารถรักษาความตรงไปตรงมาและความเป็นมืออาชีพได้อย่างที่สังคมหวังหรือไม่
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
