รีเซต

ตำนาน “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” ระบบเตือนภัยจากชาวเล ก่อนวัน “สึนามิ” จะมาถึง

ตำนาน “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” ระบบเตือนภัยจากชาวเล ก่อนวัน “สึนามิ” จะมาถึง
TNN ช่อง16
26 ธันวาคม 2568 ( 14:01 )
9

“เมื่อท้องฟ้าและทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง สัตว์ทั้งหลายต่างตื่นตระหนก หากน้ำทะเลเหือดแห้ง จนเห็นปลามากมาย ห้ามไปจับปลา เพราะนั่นคือกับดักล่อมนุษย์ให้ไปตาย ก่อนอสูรกายจะปรากฏ และกวาดล้างทุกสิ่งให้หายไปกับทะเล”    


นี่คือเรื่องเล่า “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” นิทานที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นในกลุ่มชาวเล 3 กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวมอแกลน มอแกน และอูรักลาโว้ย


เรื่องเล่าที่ซ้อนทับอยู่บนฉากทัศน์เดียวกันกับภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อ 21 ปีก่อน “สึนามิ 2004” เหตุการณ์ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 220,000 คน จาก 18 ประเทศ


ตำนาน “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” ระบบเตือนภัยจากชาวเล


ในวันที่คนไทยแทบไม่รู้จักคำว่า “สึนามิ” และระบบเตือนภัยพิบัติ ยังไม่ทันสมัยเท่าทุกวันนี้ แต่ในวันเดียวกันนั้น ชาวเลจำนวนมากกลับรอดชีวิต ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยี แต่เพราะเรื่องเล่า “ภูมิปัญญา” ที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปี


“อันนี้คือ ตำนานที่เขาเล่าไว้ให้ฟัง แต่ว่าพอเขาเล่าให้ฟัง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะใส่เนื้อหาเปรียบเทียบ เช่น วันนี้น้ำทะเลเป็นแบบนี้ วันนั้นน้ำทะเลเป็นแบบนั้น แต่ไม่ได้เปรียบเทียบจากสถานการณ์จริง ลูกหลานที่ฟังก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเกินจริง เขาบอกว่ารอน้ำทะเลแห้ง ซึ่งมันจะไม่มีจริง แต่ปี 2547 มันเกิดขึ้นจริง” วิทวัส เทพสง ผู้ประสานงานเครือข่ายชาวเลฯ กล่าวถึงตำนาน “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” ให้เราฟัง พร้อมหวนนึกถึงวันมหาภัยพิบัติใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับแสน รวมถึงญาติของเขาด้วย 


วิทวัส เชื่อว่า เรื่องคลื่นยักษ์ 7 ชั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวเลมอแกลนที่นี่รอด นอกจากคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น เด็กหรือผู้ป่วยติดเตียงที่เสียชีวิต


“การที่ชาวเลมอแกลนจะอยู่กับทะเลได้ เราต้องเคารพธรรมชาติ ธรรมชาติในป่า ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติก็จะมีอยู่ 2 มิติ มิติหนึ่ง คือ ให้คุณ เวลาเราไปเอาของจากธรรมชาติ ถ้าเราเอาไปแบบไม่ทำลายล้าง เอาแบบเคารพ ถูกวิธี มันก็จะให้คุณ แต่ว่าถ้าเกิดว่าเราไปเอามาแบบไม่ถูกวิธี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติก็อาจจะเป็นผีร้าย เป็นปีศาจที่ให้โทษ” วิทวัส กล่าวถึงการมีอยู่ของตำนานคลื่นยักษ์ 7 ชั้นว่า เกิดขึ้นเพื่ออะไร 


นิทานปรัมปราที่ไร้คนเชื่อ


นิทานที่เคยถูกมองว่าเกินจริง เคยเป็นเพียงเรื่องเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ กลับกลายเป็น “ความจริง” ในวันที่ทะเลแห้งอย่างที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้


“ตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้า บ้านทวดอยู่ห่างออกไป 2–3 หลัง ตอนค่ำ ๆ ทวดจะเรียกมา ๆ กูเล่าอะไรให้ฟัง ก็จะแบบเป็นคำนิทาน และแกก็เล่านิทานเรื่อง คลื่นยักษ์ 7 ชั้น ทวดบอกว่า ถ้าวันไหนน้ำทะเลแห้ง อย่าลงไปจับปลา นั่นคือเขาล่อให้ไปตาย ถ้าเราลงไป เขาจะกินเรา” อรวรรณ หาญทะเล ชาวเลมอแกลน ชุมชนบ้านทับตะวัน-บนไร่ เล่าถึงเรื่องราววันที่เกิดสึนามิ พร้อมหวนนึกถึงคำสอนของผู้เฒ่าของชุมชนให้เราฟัง 


“ทวดเล่าว่า ถ้าน้ำทะเลแห้งผิดปกติ ให้รีบวิ่งขึ้นที่สูง ถ้าวิ่งไม่ทันให้ปีนต้นไม้ คนที่อยู่ในเรือให้ขับเรือออกไปให้ไกลที่สุด แล้วหากมีไม้ กระดาน หรือถัง ให้ผูกเชือกเอาไว้ให้แน่น ตอนนั้นพี่หญิงไม่เชื่อและหัวเราะ แต่พอเกิดสึนามิจริง น้ำทะเลแห้งจริง ๆ” เธอ กล่าว 


อรวรรณ กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เธอกลับมาค้นหาประวัติ เรื่องเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องภัยพิบัติ แต่รวมถึงภูมิปัญญาที่ทำให้พวกเรา (ชาวมอแกลน) มีชีวิตต่ออยู่ได้ 


ขณะที่ วิทวัส กล่าวว่า นิทานคลื่นยักษ์ 7 ชั้น ถูกส่งต่อมาหลายรุ่น ผู้เฒ่า ซึ่งถือเป็นผู้นำชุมชน จะคอยเล่าเรื่องราวนิทานต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ในชุมชนฟัง เป็นเหมือนภูมิปัญญา ภูมิความรู้ให้พวกเขามีติดตัว ไม่ได้มีเฉพาะแค่เรื่องคลื่นยักษ์ 7 ชั้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องการดูน้ำ ลม ฟ้า อากาศต่าง ๆ ด้วย 


แต่เมื่อเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้น ตำนาน “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” จึงกลายเป็นที่สนใจ เพราะสมัยนั้น ยังไม่มีระบบเตือนภัย แต่ชาวเลก็รอดมาได้ จากการปฏิบัติตามตำนานนี้ นอกจากนี้ ช่วงเวลาหลังเกิดสึนามิไม่นาน ก็มีนักวิชาการ มาตรวจสอบพื้นที่ประสบภัย พบว่า ก่อนหน้าเกิดสึนามิ 2004 ก็เคยเกิดเหตุลักษณะเดียวกันมาแล้วราว 500-700 ปี จึงเชื่อว่า นิทานคลื่นยักษ์ 7 ชั้น ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษชาวเลที่เคยพบเจอคลื่นยักษ์มาก่อนหน้านี้เช่นกัน 


“มันก็เป็นสิ่งที่เรามั่นใจ และสามารถบอกได้ว่าตำนานคลื่นยักษ์ 7 ชั้นที่ผู้เฒ่าเล่า เหมือนนิทานปรัมปราที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่พอเกิดสึนามิขึ้นจริง มันทำให้เรารอด และมันมีหลักฐานยืนยันว่าเคยเกิดขึ้นจริง และเป็นความรู้ที่สืบทอดส่งต่อกันมา” วิทวัส กล่าว 

ส่งต่อจาก “รุ่น” สู่ “รุ่น” จาก “ชีวิต” สู่ “ชีวิต”


แม้จะไม่เคยถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่นิทาน “คลื่นยักษ์ 7 ชั้น” ถูกถ่ายทอดแบบปากต่อปากยาวนานหลายร้อยปี จาก “รุ่น” สู่ “รุ่น” จาก “ชีวิต” สู่ “ชีวิต” 


“ภูมิปัญญากับเรื่องเล่าเหมือนเป็นหมุดหมาย เป็นสัญญาณเตือนภัย คล้ายหอเตือนภัย แต่ไม่ได้เตือน ณ จุดนั้นทันที มันบอกให้คนรู้ว่าธรรมชาติและทะเลไม่แน่นอน” รศ. ดร.นฤมล อรุโณทัย อาจารย์ประจำหลักสูตรสหสาขาพัฒนามนุษย์และสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า ในนิทานจะบอกว่า ถ้าน้ำทะเลลดผิดปกติ อย่าไปดู ให้รีบวิ่งขึ้นเขา และภูมิปัญญานี้ไม่ได้เกี่ยวกับแค่คลื่น 7 ชั้น หรือภาษามอแกนเท่านั้น แต่ยังพูดถึงที่ตั้งถิ่นฐานของชุมชน ว่าที่ไหนหลบคลื่นลมได้ ปลอดภัยที่สุด


“ชาวเลต้องอยู่กับทะเล เป็นที่ทำมาหากิน เรื่องการตั้งถิ่นฐาน สัญชาตญาณเกี่ยวกับทะเล เช่น ชาวมอแกนที่ขับเรือพานักท่องเที่ยว เมื่อเห็นคลื่นมาแต่ไกล แทนที่จะวิ่งเข้า เขาจะวิ่งออกทะเล เพราะรู้ว่าคลื่นในทะเลลึกไม่กระแทกรุนแรงเหมือนใกล้ฝั่ง ทั้งหมดนี้คือสัญชาตญาณ ความคุ้นเคย ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดจากปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ที่สอนเรื่องสภาพอากาศ คลื่น ลม กระแสน้ำ และการระวังภัย ภูมิปัญญาจึงผูกโยงกับทุกมิติ” รศ.ดร. นฤมล กล่าว 


ตำนานที่ไม่ได้มีแค่ในไทย


เรื่องเล่าคลื่นยักษ์ 7 ชั้น ไม่ได้มีเพียงในประเทศไทย หากข้ามทะเลอันดามันไป ที่เกาะซีเมอลูเวอ ประเทศอินโดนีเซีย ก็มีเรื่องเล่าที่คล้ายกัน ในชื่อว่า “Smong” คำเตือนจากบรรพบุรุษที่ทำให้ผู้คนจำนวนมาก รอดชีวิตจากสึนามิ ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ “การฟังเรื่องเล่า”


“Smong” เริ่มกลายเป็นนิทานก่อนนอนแก่เด็ก  หลัง “สึนามิ” ถล่มเกาะซีเมอลูเวอเมื่อปี 1907 ภัยพิบัติครั้งนั้น คร่าชีวิตผู้คนบนเกาะหลายคน บ้านเรือนพังพินาศหลายหลัง 


คนที่รอดชีวิต จึงเล่าเรื่องนี้แก่เด็ก ๆ ของพวกเขา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ หากภัยพิบัติร้ายนั้นกลับมาอีกครั้ง 


เรื่องเล่านี้ ถูกส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่น และเมื่อเกิดเหตุคลื่นยักษ์ถล่มอีกครั้ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างรอดชีวิต และให้เครดิตกับตำนานนี้ว่า เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ 

20 ปีที่ผ่านไป คำบอกเล่าที่ค่อยเลือนหาย


เมื่อเวลาผ่านไป ภัยพิบัติ “สึนามิ” หลงเหลือยู่เพียงความทรงจำ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เรื่องเล่าภูมิปัญญาแบบปากต่อปากก็กำลังค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ผู้คนในชุมชนก็เริ่มห่างไกลจากทะเล ยากที่จะสืบสานภูมิปัญญาดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ 


คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ จะเลือก “ภูมิปัญญา” หรือ “เทคโนโลยี” แต่คือ เราจะทำอย่างไร ให้ทั้งสองสิ่งเดินไปด้วยกัน


วิทวัส ชี้ว่า การจะทำให้ภูมิปัญญาชาวเลอยู่ต่อไปได้ คือ การร่วมกันบูรณาการจากหลายฝ่าย โดยมองว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง มหาดไทยสำหรับศูนย์บรรเทาภัยพิบัติ ต้องร่วมมือกับกระทรวงศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อส่งเสริมให้คนอยู่ได้อย่างมั่นคงในพื้นที่ภัยพิบัติ


“สี่ส่วนนี้มาร่วมกัน แล้วทำ “หลักสูตรคุณค่า วิถีภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล” ที่มีความรู้ อย่าเอาแต่เรื่องคลื่นยักษ์อย่างเดียว เพราะตอนนี้คลื่นยักษ์คนทำกันเยอะแล้ว เอาภูมิปัญญาทั้งองค์ประกอบทั้งหมด ความรู้ฟ้า ลม น้ำ ดิน ทั้งหมด แล้วเวลาเรานำเสนอ คนก็จะไม่รู้สึกว่า ‘เฮ้ย พวกนี้แข่งกันทำเรื่องสึนามิกัน’ ไม่ใช่แบบนั้น”


“เราต้องทำให้เป็นรูปแบบของพวกเราเอง เฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ทุกวันนี้เหมือนแข่งกันระหว่างเทคโนโลยีกับภูมิปัญญา เทคโนโลยีจะไม่พูดถึงภูมิปัญญา” วิทวัส กล่าว 


ด้าน รศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า อยากให้มีการสืบสานภูมิปัญญาชาวเลต่อ โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณและวิถีการอนุรักษ์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมว่า “โลกเปลี่ยนไปแล้ว”


“คำถามคือเราจะใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การบันทึกวิดีโอ ลงสื่ออย่าง YouTube มาเป็นเครื่องมืออนุรักษ์ภาษาและภูมิปัญญาได้อย่างไร ให้เกิดความสมดุล เพราะเด็กยุคใหม่ผูกพันกับสื่อสมัยใหม่มาก” รศ.ดร. นฤมล


“อีกเรื่องสำคัญคือการทำงานข้ามศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์หรือนักชีววิทยาที่ทำงานกับป่า ภูเขา หรือทะเล จะเอาความรู้วิทยาศาสตร์มาผนวกกับความรู้ชนพื้นเมืองอย่างไร” เธอ กล่าว 


“สึนามิ 2004” ไม่ใช่จุดสุดท้ายของการหยุดยั้งภัยพิบัติ


ผ่านมาแล้ว 20 ปี “สึนามิ” ไม่ใช่จุดจบของภัยธรรมชาติ โลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น และคาดเดายากขึ้น ตั้งแต่น้ำท่วม ภัยแล้ง ไปจนถึงพายุรุนแรง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน และการเมินเฉยของมนุษย์ที่ไม่แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้ว่า โลกเราจะมีเทคโนโลยีมากมายแค่ไหน 


รายงานแห่งชาติ (NC4) จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP เผยว่า ฝนมรสุมมักถล่มพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกปี แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของน้ำมือมนุษย์ ทำให้รูปแบบของสภาพอากาศรุนแรงมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในระดับที่ทำลายล้าง สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมากขึ้น และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ไต้ฝุ่นก่อตัวใกล้ชายฝั่งมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น และอยู่บนบกได้นานขึ้น


นอกจากนี้ ไทยยังเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากภาวะโลกรวนในระยะยาวจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงระหว่างปี พ.ศ. 2543-2562 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 1% ของทั้งโลกแต่แบกรับผลกระทบหนักมาตลอด โดยหนึ่งในอาชีพที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือเกษตรกรไทยกว่า 12 ล้านคน ที่คิดเป็น 1 ใน 6 ของคนไทย


คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า เรามีเทคโนโลยีมากพอหรือไม่ แต่คือ เรายังฟังเสียงธรรมชาติ และเรื่องเล่าจากอดีต ได้ดีพอหรือยัง


รศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสสังคม เรามองอนาคตมากกว่าอดีต ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรต้องอาศัยการพูดคุย สืบค้น ซึ่งไม่ค่อยมีคนสนใจ


“เรามุ่งไปที่เทคโนโลยี เทรนด์ใหม่ การปรับตัว แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป มีภัยพิบัติมากขึ้น เราอาจต้องกลับไปเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น” 


“ทุกวันนี้เราแทบไม่ใกล้ชิดธรรมชาติ เราอาจมีสวน มีต้นไม้ แต่เรารู้จักมันจริงหรือเปล่า เราเข้าใจสายใยของธรรมชาติ ระหว่างมนุษย์ สัตว์ และพืชหรือไม่” 


--------


ชิ้นงานนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ UNDP Media Fellowship on Sustainable Development ในด้านการเสริมสร้างความพร้อมรับ-ปรับ-ฟื้นจากภัยพิบัติ ภายใต้โครงการเตรียมความพร้อมรับมือภัยสึนามิ ข้อความ มุมมอง และความคิดเห็นที่นำเสนอในเนื้อหานี้ไม่จำเป็นต้องสะท้อนมุมมองของ UNDP


--------


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 


บทสัมภาษณ์ วิทวัส เทพสง ผู้ประสานงานเครือข่ายชาวเลฯ, อรวรรณ หาญทะเล ชาวเลมอแกลน ชุมชนบ้านทับตะวัน-บนไร่ และรศ. ดร.นฤมล อรุโณทัย อาจารย์ประจำหลักสูตรสหสาขาพัฒนามนุษย์และสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

https://www.undp.org/stories/climate-impact-thailand

https://reliefweb.int/report/indonesia/story-saved-lives-people-simeuleu-indonesia

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง