ทำไมสีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศอาเซียน ท่ามกลางสงครามภาษีกับสหรัฐฯ

สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เริ่มต้นการเดินทางเยือนสามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ระหว่างวันที่ 14-18 เมษายนนี้ ซึ่งเขาเพิ่งเดินทางถึงเวียดนามในช่วงบ่ายวันนี้ แล้วจะเดินทางไปเยือนมาเลเซีย และกัมพูชาต่อ ซึ่งการเดินทางเยือนสามประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสีจิ้นผิง เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน จากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือกลุ่มประเทศที่ถูก โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชึ้นภาษีสูงที่สุด กัมพูชา ถูกทรัมป์ขึ้นภาษี 49% ส่วนเวียดนามถูกขึ้นภาษี 46% มาเลเซียถูกขึ้นภาษี 24% แม้ว่าตอนนี้ การขึ้นภาษีจะถูกเลื่อนไป 90 วัน แต่ก็เป็นแค่การเลื่อน ไม่ใช่การยกเลิก ทำให้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้
จีนถือว่าเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะมีความขัดแย้งกันในบางเรื่อง เช่น เวียดนามและมาเลเซีย ที่มีความขัดแย้งกับจีนเรื่องพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ แต่ก็ไม่ใช่ความขัดแย้งที่รุนแรงจนถึงขนาดมองหน้ากันไม่ติด และหากมองในแง่ความสัมพันธ์ด้านการค้าแล้ว ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า จีนนับว่าเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียน ติดต่อกัน 16 ปีแล้ว และหลังจากนี้ จีนน่าจะยิ่งให้ความสำคัญกับตลาดในอาเซียนมากยิ่งขึ้น เมื่อจีนถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 145% ยิ่งทำให้จีนต้องมองหาตลาดที่จะส่งสินค้ามาขายแทนที่สหรัฐฯ ให้มากยิ่งขึ้น และเอเชียตะวันออเฉียงใต้ที่อยู่ใกล้จีน ดูจะเป็นตลาดที่จีนหมายตาเอาไว้ ซึ่งหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะทุกวันนี้ ก็มีสินค้าจากจีนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาในแต่ละประเทศ จนกระทบกับผู้ประกอบการในประเทศของตัวเอง และหากสินค้าจีนจะไหลทะลักเข้าประเทศมากกว่านี้อีก ก็จะยิ่งกระทบกับคนค้าปลีก หรือนักธุรกิจรายย่อยในประเทศของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม หากไม่นับกัมพูชาที่มีความใกล้ชิดกับจีนอย่างสนิทสนมแล้ว เวียดนาม กับมาเลเซีย อาจจะรักษาท่าทีให้ดูเป็นกลางมากกว่าการแสดงออกว่าใกล้ชิดกับจีนอย่างสนิทสนมมากเกินไป เพราะทั้งเวียดนามและมาเลเซียเองก็อยู่ระหว่างการเจรจาขอให้สหรัฐฯ ยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศของตัวเอง และหากเวียดนามกับมาเลเซียถูกทรัมป์มองว่าสนิทสนมและใกล้ชิดกับจีนมากเป็นพิเศษ ก็อาจจะทำให้การเจรจาล้มเหลวได้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดยืนที่แตกต่างกับประเทศจีน ที่ใช้วิธีขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ให้ถึงที่สุด
หากไม่นับเรื่องการค้าแล้ว การเดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของสีจิ้นผิงในปีนี้ แสดงให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับการสานความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโชคชะตาร่วมกันในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี
สำหรับเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยมเหมือนกับประเทศจีน แต่เวียดนามก็เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ซึ่งจีนหวังว่าจะใช้โอกาสในการเยือนเวียดนามครั้งนี้ เสริมสร้างมิตรภาพแบบสหายและพี่น้อง เพิ่มความไว้วางใจระหว่างกันและกัน และกระชับความร่วมมือกันในทางปฏิบัติ
ส่วนการเยือนมาเลเซีย จีนหวังว่าจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจะยกระดับการประสานงานทั้งในประเด็นระหว่างประเทศและภูมิภาค
ส่วนกัมพูชาที่ดูมีความใกล้ชิดกับจีนมากที่สุด เพราะการลงทุนจากต่างประเทศในกัมพูชาขณะนี้ เกินครึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนจากประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจีนจะยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับกัมพูชา ให้แนบแน่นมากขึ้นไปอีก ทั้งเรื่องการค้าและการลงทุน เพิ่มความไว้วางใจกันด้านการเมือง และการร่วมมือกันด้านยุทธศาสตร์ โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับว่าเป็นภูมิภาคที่สหรัฐฯ และจีน พยายามขยายอิทธิพลของตัวเองเข้ามาโดยตลอด และแต่ละประเทศต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาสมดุลความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และจีน ให้ไม่โอนเอียงไปทางประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป