นักลงทุนคาดเฟดอาจลดดอกเบี้ย 4 ครั้งปีนี้

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อประกาศใช้ทั้งมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และมาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล (Universal Tariffs) โดยมาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกถูกเรียกเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ

ปธน.ทรัมป์ประกาศว่า จะมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐานในอัตรา 10% จากทุกประเทศ ในขณะที่จะเก็บภาษีตอบโต้เพิ่มเติมกับคู่ค้าของสหรัฐฯ บางประเทศ ซึ่งรวมถึงจีนที่ถูกเรียกเก็บ 34%, อินเดีย 26%, เกาหลีใต้ 25%, ญี่ปุ่น 24% และสหภาพยุโรป (EU) 20%

ส่วนประเทศในอาเซียนถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ถ้วนหน้าเช่นกัน นำโดยกัมพูชา 49%, ลาว 48% เวียดนาม 46%, เมียนมา 44%, ไทย 36%, อินโดนีเซีย 32%, บรูไน 24%, มาเลเซีย 24% ฟิลิปปินส์ 17% และสิงคโปร์ 10%

ทั้งนี้ สัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐฯ เมื่อคืนวันพุธสะท้อนถึงการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ครั้งแรกในเดือนมิ.ย. ตามด้วยการปรับลดอีก 0.25% ในเดือนก.ค.และต.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดว่า มีโอกาสราว 45% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเป็นครั้งที่ 4 ในการประชุมเดือนธ.ค.

ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ประเมินว่า อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากสินค้าจีน ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 65% ตามมาตรการตอบโต้ล่าสุดนั้น คาดว่าจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนลดลง 2.4 จุดเปอร์เซ็นต์ และทำให้การส่งออกของจีนลดลง 15.4 จุดเปอร์เซ็นต์

ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงขนาดนี้จะทำให้การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นเรื่องยากมาก และผลกระทบที่ประเมินไว้นี้ยังไม่ได้รวมถึงมาตรการที่จีนจะทำการตอบโต้

นอกจากนี้ ซิตี้กรุ๊ปเชื่อว่า การขึ้นภาษีครั้งใหม่นี้จะทำให้การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนยากลำบากมากขึ้น และจีนอาจตอบโต้รุนแรงกว่าที่เคยถูกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับสารเฟนทานิล