หุ้นไทยสัปดาห์หน้า "เสี่ยงพักฐาน" แรงถ่วงจากปัจจัยอะไร หลบภัยตัวไหนดี !

ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลง โดย ณ วันที่ 14 ต.ค. หลังหยุดยาว ดัชนีปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,266.38 ลดลง 20.60 จุด หรือ -1.60% สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางความ กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจีนมีมาตรการคุม เข้มการส่งออกแร่หายาก และสหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจากจีน ขณะที่กลุ่มพลังงานมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาน้ำมัน ในตลาดโลกที่ปรับตัวลง
หลังจากนั้นดัชนีฟื้นตัวกลับมาได้ โดยมีแรงหนุนจากรายงานข่าวเกี่ยวกับการ ประชุมครม. เศรษฐกิจนัดแรก ซึ่งเพิ่มความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับตลาดมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ปัจจัยบวกข้างต้นช่วยหนุนแรงซื้อหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มแบงก์ที่มี 3 แรงซื้อเก็งกำไรก่อนการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2568
แต่ท้ายสัปดาห์ดัชนีร่วงลงแรงอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลประเด็นความตึง เครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อ
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร หลังจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านสินเชื่อในระบบการเงินสหรัฐ ขณะที่ชัตดาวน์สหรัฐฯ ยังยืดเยื้อและยังไม่มีท่าทีได้ข้อยุติ จะลงทุนหุ้นตัวไหนดี ในวันนี้ TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุน โดยมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างนั้น ตามไปส่องกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้ายังเผชิญความเสี่ยงผันผวน นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในระบบการเงินและหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังธนาคารภูมิภาคของสหรัฐ คือธนาคารไซออนส์ บันคอร์ปอเรชัน ตัดบัญชีหนี้สูญกว่า 50 ล้านดอลลาร์ ธนาคารเวสต์เทิร์น อัลลิอันซ์ บันคอร์ป ฟ้องร้องบริษัทแคนเทอร์ กรุ๊ป ในคดีฉ้อโกง หลังพบว่ามีการปลอมเอกสารเพื่อกู้ยืมเงิน
ทั้งนี้ส่งผลให้ภาพตลาดหุ้นโลกในเดือน ต.ค. นี้เริ่มปรับตัวลง 0.2% บิทคอยท์ร่วง 8% สวนทางทองคำบวก 12.5% ซึ่งเห็นได้ว่าเม็ดเงินไหลออกสินทรัพย์เสี่ยงไปสินทรัพย์ปลอดภัย
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ "ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์" ที่ปิดกิจการ กดดันหุ้นลงหนัก 2 สัปดาห์ (ช่วง 8-22 มี.ค. 66) ทำให้ภาพหุ้นโลก -1.6% หุ้นไทย -2% โดยหุ้นโลกกลุ่มที่ร่วงแรงสุดตอนนั้นเป็นกลุ่มไฟแนนซ์โลก - 8% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทย -4% ส่วนหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดคือ กลุ่มสื่อสารและโรงพยาบาล ที่เป็นบวกเล็กน้อย เชื่อว่าถ้าเหตุการณ์ไม่รุนแรงสามารถแก้ไขได้ตลาดจะดีดกลับในระยะต่อมา
นอกจากนี้ต้องติดตามชัตดาวน์สหรัฐฯ จากที่ตลาดคาดว่าจะเสร็จสิ้นหลัง 15 ต.ค. แต่น่าจะล่วงเลยไปหลังวันที่ 25 ต.ค. ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัย์ปลอดภัยมากขึ้น สะท้อนจากพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลงมาอยู่ที่ 3.93% ทำจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
ขณะเดียวกันประเมินว่า ตลาดหุ้นโลกมีสัญญาณก่อฟองสบู่เล็ก ๆ สะท้อนได้จาก แรงผลักตลาดหุ้นสหรัฐในเดือน ก.ย. มีการใช้ MARGIN DEBT ขยับขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติศาสตร์ที่ 1.12 ล้านล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 6.3% MOM คิดเป็นสัดส่วน 2% ของมาร์เก็ตแคปดัชนี เอสแอนด์พี 500
นอกจากนี้พบว่า รายการผู้บริหารขายหุ้น (INSIDER TRADE) ใหญ่สุด 200 อันดับแรกในสหรัฐ สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการขายสุทธิถึง 197 ใน 200 รายการ ซึ่งต้องมอนิเตอร์ว่า เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ โดยเฉพาะหุ้น DELL ขายสุทธิเดือนต.ค. 2,100 ล้านเหรียญ, CRWD ขายสุทธิเดือนต.ค. 44 ล้านเหรียญ, NVDA ขายสุทธิ เดือนต.ค. 371 ล้านเหรียญ และ Valuation เริ่มจะแพง โดย P/E ของดัชนีเอสแอนด์พี 500 สูงถึง 38 เท่า ใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นถือเป็นแรงถ่วงตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยนักลงทุนที่เข้าซื้อขายหุ้นจะต้องระมัดระวัง
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาห์หน้าคือ กระทรวงการคลังชงแพคเกจท่องเที่ยวเสนอครม.สัปดาห์ สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวได้สูงสุด 20,000 บาท ท่องเที่ยวเมืองรองลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า เมืองหลักลดหย่อนภาษี 1 เท่า ในช่วงระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-15 ธ.ค.นี้ จะช่วยหนุนหุ้นท่องเที่ยว แม้ว่าจะช่วยให้จีดีพีโตเพียง 0.05% แต่เชื่อว่านโยบายการคลังที่ออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งคนละครึ่งพลัส เพิ่มเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1,700 บาท และมาตรการท่องเที่ยวจะช่วยดันจีดีพีในไตรมาส 4/68 โตได้เพิ่มขึ้น 0.4% ตามที่รัฐคาดหวังไว้
โดยปัจจุบันหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยใหม่หนุน ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปตามตลาดหุ้นโลกเป็นหลัก เชื่อว่าดัชนีผันผวนและมีโอกาสย่อตัวลง แนวรับ 1,230- 1,240 จุด ซึ่งดัชนีใกล้เคียงกับเหตุการณ์ ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ ที่ราคาหุ้นร่วงลง 2% แนวต้านอยู่ที่ 1,280 จุด เน้นหุ้น defensive คือโรงไฟฟ้า เช่น GULF ราคาเป้าหมาย 68.25 บาท BPP ราคาเป้าหมาย 10 บาท ซึ่งจะเข้า SET 100 ในรอบหน้าด้วย และหุ้นที่ outperform ได้ดี คือ ADVANC ราคาเป้าหมาย 315 บาท และโรงพยาบาลเลือก BH ราคาเป้าหมาย 225 บาท
ฝั่ง“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า “แกว่งสร้างฐาน” ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,289 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,303 จุด แนวรับแรกที่ 1,260 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,246จุด โดยตลาดกลับมากังวลความเสี่ยงภาคธนาคารขนาดกลาง-เล็กจากกรณีความไม่โปร่งใสภายในและคุณภาพสินทรัพย์ ตลาดให้น้ำหนักประเด็นเฉพาะตัว อิง CDS ตราสารหนี้คุณภาพที่ขยับขึ้นราว 40 bps vs กรณีตลาดกังวลผลกระทบวงกว้างจะเร่งขึ้น > 100 bps หากความเสี่ยงไม่ขยายวง SET มีโอกาสค่อย ๆ ตั้งฐานเพื่อฟื้นตัว
โดยหุ้นเด่นจะเป็น หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง (ไฟฟ้า เช่าซื้อ) หุ้น Domestic ได้ประโยชน์กระแสนโยบายรัฐฯ หนุนสัปดาห์หน้าฝั่งนโยบายพลังงาน (คาดเน้นลดค่าไฟฟ้า+Direct PPA รับ Data Center) และคนละครึ่งพลัส อาทิ ค้าปลีก หุ้นในธีม Infra Tech ผสาน หุ้น Defensive (สื่อสาร ร.พ.)
ประเด็นที่ต้องติดตาม
- 20 ต.ค. GDP งวด 3Q25 ของจีน คาดว่า +4.8%y-y จากเดิมอยู่ที่ +5.2%y-y, รายงานกิจกรรมเศรษฐกิจจีน ก.ย. ได้แก่ 1. ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +5.0%y-y จากเดิมอยู่ที่ +5.2%y-y, 2. ดัชนีค้าปลีก คาด +3.0%y-y จากเดิมอยู่ที่ +3.4%y-y, 3) การลงทุนในสินทรัพย์คงทน คาด +0.0%ytd y-y จากเดิมอยู่ที่ +0.5% ytd y-y
- 20-21 ต.ค. ติดตามประชุม ครม. และ ครม.เศรษฐกิจไทย
- 20 - 23 ต.ค. การประชุม พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 4 โดยมี Agenda การวางแผนเศรษฐกิจ 5 ปี (2026 – 2030) และการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
- 20 - 25 ต.ค. ติดตามความพยายามในการผ่านร่างงบประมาณประจำปี หรืองบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution) ของสภา ส.ว. สหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหา Government Shutdown ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา หลังไม่ผ่านมาแล้ว 10 ครั้ง
- 24 ต.ค. เงินเฟ้อ CPI ทั่วไป ก.ย. ของสหรัฐฯ คาดว่า +3.1%y-y, +0.4%m-m จากเดิมอยู่ที่ +2.9%y-y, +0.4%m-m, เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +3.0%y-y, +0.3%m-m, จากเดิมอยู่ที่ +3.1%y-y, +0.3%m-m
- 24 ต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่น มหาวิทยาลัย มิชิแกนของสหรัฐฯ คาดว่าอยู่ที่ 55.0 จุด เท่าเดือนก่อน, ดัชนี S&P Flash PMI ต.ค. ภาคผลิต คาด 51.8 จุด จากเดิมอยู่ที่ 52.0 จุด
- 24 ต.ค. ดัชนี Flash PMI ต.ค. ภาคผลิตของยุโรป คาดว่าอยู่ที่ระดับ 49.8
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ
• ADVANC (TP25F-350): Defensive กำไร3Q25F เด่น +33%y-y, +2%q-q คาดแกร่งกว่าตลาดในช่วงกำลังประเมินปัจจัยเสี่ยงใหม่
• GULF (TP25F-59): แผนกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลสัปดาห์หน้าเน้นนโยบายพลังงาน
• BH ( TP25F-217): หุ้น Defensive เหมาะกับตลาดยังไม่แน่ใจกับปัจจัยเสี่ยงเข้ามาใหม่
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
