รีเซต

เช็กหุ้นเด่น! รับอานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส-แก้หนี้รายย่อย” มีตัวไหนกันบ้าง

เช็กหุ้นเด่น! รับอานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส-แก้หนี้รายย่อย” มีตัวไหนกันบ้าง
TNN ช่อง16
4 ตุลาคม 2568 ( 11:49 )
20

รัฐบาล “อนุทิน1”  อัดฉีดงบกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น  ล่าสุดครม. ไฟเขียวอนุมัติงบกลาง 22,780 ล้านบาท  สำหรับเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ   2 ครั้ง ครั้งละ 850 บาทในเดือน พ.ย.  และ ธ.ค.นี้ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย  จากปกติที่ได้เงินจากบัตรสวัสดิการฯเดือนละ 300 บาทก็จะได้เดือนละ 1,150 บาท 

โดยมีประชาชนผู้มีสิทธิ 13.4 ล้านคน สามารถกดเงินสดออกมาได้ทันที (กรณีมีวงเงินคงเหลือในเดือนใดจะไม่มีการสะสมในเดือนถัดไป) เพื่อนำเงินไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา วัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และร้านอื่นๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด  คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2568 ประมาณ 0.2–0.4% ของ GDP  

นอกจากนี้เตรียมลุ้นต่อกับโครงการคนละครึ่งพลัส  โดยในการประชุมครม.วันที่ 7 ต.ค.นี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังชง (ครม.) อนุมัติโครงการดังกล่าว กรอบวงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยกำหนดเป้าหมายเข้าถึงประชาชนประมาณ 20 ล้านคน แบ่งเป็น

ผู้อยู่ในระบบภาษี จำนวน 11 ล้านคน (ยื่นแบบภาษี)

  • จะได้รับสิทธิพิเศษในโครงการคนละครึ่ง ที่ปรับเปลี่ยนจาก 50:50 เป็น 60:40
  • โดยรัฐบาลจะสมทบ 2,400 บาท และประชาชนเติมเงินอีก 2,000 บาท
  • สามารถจับจ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท
  • ระยะเวลา 2 เดือน

 ผู้อยู่นอกระบบภาษี จำนวน 9 ล้านคน

  • จะได้รับการเติมเงิน 2,000 บาท และประชาชนเติมเงินอีก 2,000 บาท
  • สามารถจับจ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท
  • ระยะเวลา 2 เดือน 

โดยจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่วันที่ 20–26 ต.ค.นี้  สำหรับผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งในรอบก่อนหน้า ระบบจะตอบรับการลงทะเบียนได้รวดเร็ว ขณะที่ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมจะต้องใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลบ้างเล็กน้อย  ซึ่งระบบจะกลั่นกรองสถานะของประชาชนว่าเป็นผู้ที่อยู่ในระบบภาษี หรือเป็นประชาชนทั่วไป และจะเริ่มใช้จ่ายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.- 31 ธ.ค.68    

ส่วนร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 68 เป็นต้นไป และสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดโครงการ  คาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมมากกว่า 1 ล้านแห่ง ซึ่งจะขยายขอบเขตร้านค้า ไปถึงนิติบุคคลขนาดเล็ก แบ่งเป็น กลุ่มนิติบุคคลจดทะเบียน 1.8 ล้านบาท และนิติบุคคลขนาด 30 ล้านบาท ที่อยู่ในระบบภาษี รวม 5,500 ราย ครอบคลุมร้านบริการ อาหาร เครื่องดื่ม และบริการทั่วไป 

ขณะเดียวกันรัฐบาลมีแผนแก้หนี้ประชาชนวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท จำนวน 3.8 ล้านราย มูลหนี้รวม 1.2 แสนล้านบาท ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวน 26,000 ล้านบาท  มาบริหารผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์  เพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาปรับโครงสร้าง และตั้งเป้าหมายว่าจะลดหนี้ครัวเรือนให้ต่ำลงกว่า 87% ซึ่งครอบคลุมลูกหนี้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์    

สำหรับหลักการการบริหารหนี้เสีย มี 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม ในการจัดตั้ง AMC เข้ามาดูแลลูกหนี้ของแบงก์เอง
  2. ดำเนินการผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ให้เข้ามารับธนาคารขนาดกลาง
  3. บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC รองรับลูกหนี้เสียจากแบงก์ขนาดเล็กและแบงก์รัฐ

ทั้งนี้ เงื่อนไขในการดูแลลูกหนี้ที่อยู่ใน AMC จะได้รับการผ่อนปรน ทำให้ลูกหนี้มีภาระการผ่อนต่อเดือนต่ำลง เช่น เคยผ่อน 2 พันบาทต่อเดือน อาจเหลือแค่ 500 บาทต่อเดือน เป็นต้น ซึ่งมีต้นแบบจากโครงการคุณสู้เราช่วยมาแล้ว โดยจะมีการผ่อนปรนเกณฑ์มากขึ้น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น คลังอยู่ระหว่างหารือกับธปท. คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 4 เดือน โดยเป็นหนึ่งใน Quick Big Win ของรัฐบาล 

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมากน้อยแค่ไหน และบริษัทจดทะเบียนรายใดได้รับประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งพลัส รวมถึงโครงการแก้หนี้รายย่อยกันบ้างในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ


เริ่มจาก  ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองว่า  การที่รัฐเดินหน้าโครงการคนละครึ่งพลัสใช้งบประมาณ 60,000 กว่าล้านบาทจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ดีขึ้น คาดว่าจะช่วยหนุนจีดีพีโต 0.2-0.4%  โดยธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จะเป็นร้านค้าทั่วไปมากกว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  คาดว่า หุ้นกลุ่มฟู้ดแอนด์เบฟเวอร์เรจส์ หรือ F&B  ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มจะได้รับประโยชน์ เช่น  ICHI หนุนยอดขายเพิ่ม หรือ CBG ได้รับประโยชน์ทางอ้อม  ขณะที่ CPAXT  ร้านค้ารายย่อยจะซื้อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคใน แมคโคร เพื่อไปจำหน่าย โดยปกติแมคโครจะมีรายได้จากร้านค้าปลีกประมาณ 22% และสัดส่วน 33% มาจากลูกค้ารายย่อย   

ส่วน CPALL ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการเข้าถือหุ้นใน CPAXT สัดส่วนประมาณ 60%   ขณะที่ BJC จะมีรายได้จากยอดขายสินค้าอุปโภค-บริโภคในบิ๊กซีเพิ่มขึ้นเช่นกัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 11% ของยอดขาย

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่น เช่น ลดหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท  โดยครอบคลุมลูกหนี้ 3.8 ล้านราย มูลหนี้รวม 120,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นมูลหนี้ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจการเงินแต่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือนอนแบงก์อยู่ที่ 85,000 ล้านบาท และแบงก์ 35,000  ล้านบาท โดยตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือเอเอ็มซีเข้ามาซื้อหนี้นั้น เป็นเรื่องที่ดีในการช่วยเหลือประชาชนที่เงินตึงมือสามารถคลายได้  ซึ่งธนาคาร และไฟแนนซ์ที่ขายหนี้จะได้ประโยชน์ในการบริหารงบดุลให้ดีขึ้น โดยเฉพาะนอนแบงก์ที่มีสัดส่วนหนี้ถึง 70% ส่วนหุ้นได้ประโยชน์เป็นกลุ่มไฟแนนซ์ ที่มีหนี้ต่ำและปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมีข้อจำกัดหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท เช่น MTC และลูกหนี้บัตรเครดิต เช่น KTC เป็นต้น 

ฟาก “กรรณ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)  ประเมินว่า  โครงการคนละครึ่งจะช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1.3-1.6 แสนล้านบาท   หรือประมาณ 1.2-1.4 เท่ามากกว่าการแจกเงิน 10,000 บาทที่มีสัดส่วนเพียง 0.4-0.9 เท่า  ภายใต้สมมติฐานที่มีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ 33 ล้านคน เพราะเป็นโครงการจูงใจให้ผู้บริโภคใช้เงิน โดยภาครัฐเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งกระตุ้นให้มีการบริโภคจึงมี multiplier effect สูงกว่า ส่วนการแจกเงิน 10,000 บาทจะช่วยเพิ่มรายได้โดยตรงและบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน แต่ไม่มีผลต่อการกระตุ้นการบริโภคโดยรวม โดยหุ้นที่ได้รับผลบวก เช่น  CPAXT ,BJC เป็นต้น

ปิดท้าย "ณัฐชาต เมฆมาสิน" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ มองว่า มาตรการเหล่านี้ในอดีตเคยทำมาแล้ว โดยคนละครึ่งกระตุ้นจีดีพีเพียง 0.5% ซึ่งถือว่าไม่ได้มากนัก แต่ช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ ขณะที่สภาพคล่องของผู้ประกอบการต่าง ๆ น่าจะดีขึ้น  ถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อตลาดทุน โดยเงินบางส่วนจะเข้ามาในตลาดทุน และหุ้นที่ได้รับผลบวก เช่น  CPAXT เนื่องจากลูกค้ารายย่อยและรายเล็กจะซื้อสินค้าแมคโคร เพื่อไปขายต่อให้กับผู้บริโภค 

สำหรับการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยด้วยการตั้งเอเอ็มซีนั้น ที่ผ่านมาเคยมีแผนดำเนินการเรื่องนี้แล้ว โดยมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนหน้านี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาอย่างต่อเนื่อง เช่น คุณสู้เราช่วย  แต่โครงการเกิดขึ้นจริงจะทำให้แบงก์ถ่ายหนี้เสียต่างๆ ออกมาจากระบบได้จะทำให้คุณภาพหนี้ของแบงก์หนี้ดีขึ้น  

ส่วนจีดีพีโตไตรมาส 4/68 โตน้อย เพราะฐานในไตรมาส 4/67 สูง เนื่องจากมีการเร่งการส่งออก แต่ชะลอตัวลงในไตรมาส 3/68 เพราะมีปัญหาสุญญากาศทางด้านการเมืองภายในประเทศ และเป็นช่วงโลว์ซีซั่นการบริโภคและการท่องเที่ยว  แต่เชื่อว่าการที่รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้การบริโภคในประเทศเพิ่ม และช่วยค้ำยันเศรษฐกิจในช่วงที่ส่งออกชะลอตัว และการมีเสถียรภาพทางการเมืองจะทำให้จีดีพีไตรมาส 4 พลิกฟื้นกลับคืนมา  เน้นการลงทุนหุ้นที่อิงการบริโภคภายในประเทศรับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น กลุ่มค้าปลีก เช่น CPAXT และกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น AEONTS จากการใช้จ่ายซื้อสินค้าเพิ่ม

การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเป็นกลไกสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่การส่งออกชะลอตัว และการท่องเที่ยวแผ่ว  โดยเชื่อว่าการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส และการเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการ พร้อมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการ “ดึง” เศรษฐกิจไทยออกจากภาวะติดหล่ม และเป็นแรงหนุนให้จีดีพีในไตรมาส 4/68 โตเกินกว่า 1%....

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง