ธปท.หนุนภาคธุรกิจ ทำการค้าดิจิทัลครบวงจร ช่วยลดต้นทุน-ยกระดับแข่งขัน
ข่าววันนี้ น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภาคการเงิน ภาครัฐ อาทิ สมาคมธนาคารไทย กรมสรรพากร สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สำนักงานระบบการชำระเงิน (PSO) บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินสำหรับภาคธุรกิจ หรือโครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมการค้าในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย
ปัจจุบัน การทำธุรกรรมทางการค้าส่วนใหญ่ยังใช้เอกสารกระดาษในกระบวนการซื้อ-ขายระหว่างภาคธุรกิจจำนวนมาก ซึ่งมีต้นทุนสูง และใช้เวลา เช่น ต้นทุนในการนำส่งและจัดเก็บเอกสาร ความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด และสูญหายของเอกสาร ระยะเวลาในการดำเนินงานของกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงการชำระเงินข้ามธนาคาร การตรวจสอบข้อมูลการชำระ (reconcile) เพื่อบันทึกบัญชี การส่งมอบใบเสร็จรับเงิน และการเชื่อมต่อกับระบบของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านภาษี ซึ่งโครงการนี้จะช่วยลดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจแบบเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
น.ส.สิริธิดา กล่าวว่า โครงการนี้ ได้รับการออกแบบโดยใช้ประโยชน์จากมาตรฐานข้อความการชำระเงิน ISO 20022 ที่เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งเอื้อให้สามารถส่งข้อมูลทางการเงินไปพร้อมกับการชำระเงิน ช่วยให้ภาคธุรกิจทำรายการซื้อขายสินค้าและชำระเงินทางดิจิทัลพร้อมได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร โดยผู้ขายสินค้าสามารถเรียกเก็บเงินตามใบแจ้งหนี้ (invoice) ทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ซื้อสามารถชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ได้สะดวกทางอิเล็กทรอนิกส์ และชำระเงินข้ามธนาคาร ผู้ขายสามารถตรวจสอบข้อมูลการชำระเงินกับรายการเรียกเก็บเงินได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเชื่อมโยงกับการส่งข้อมูลใบกำกับภาษี (e-Tax Invoice) และใบเสร็จรับเงิน (e-Receipt) ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลการค้า การชำระเงิน และภาษีได้แบบครบวงจรทางดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างให้ธุรกิจมี digital footprint ที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลธุรกรรมการค้า และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจด้วยต้นทุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะ SMEs รวมถึงสามารถต่อยอดบริการและนวัตกรรมใหม่ ๆ อันจะส่งผลให้เกิดการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจต่อไป
ด้านนายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. กล่าวว่า การพัฒนาโครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business ในระยะแรก ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนแรก คือ โครงสร้างพื้นฐานกลางที่ให้ผู้ใช้บริการส่งข้อมูลทางการซื้อขายสินค้า การชำระเงินและภาษี โดยในเบื้องต้นจะมี 3 บริการ คือ
1) บริการส่ง-รับใบแจ้งหนี้ทางดิจิทัล ที่จะช่วยให้การวางบิลเรียกเก็บเงินสะดวกขึ้น รวมถึงการนำส่งใบกำกับภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice)
2) บริการการชำระเงินพร้อมข้อมูลการค้า ที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจมีข้อมูลในการตรวจสอบกระทบยอด (reconcile) ที่รวดเร็ว
3) บริการการชำระเงินที่เชื่อมโยงกับการออกใบเสร็จรับเงิน ที่ช่วยกระบวนการทำงานของภาคธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจสามารถเลือกใช้บริการจากบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของภาคธุรกิจได้ ปัจจุบันระบบอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในครึ่งหลังปี 65
ส่วนที่สอง คือ บริการให้สินเชื่อ หรือ digital supply chain financing ที่จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นของภาคธุรกิจที่ช่วยตรวจสอบ invoice รวมทั้งการให้สินเชื่อซ้ำซ้อน (double financing) ช่วยลดเวลาในการพิจารณาให้สินเชื่อ ซึ่งจะเริ่มเปิดในบริการภายในเดือนธ.ค. 64
--------------------
เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก
กดเลย >> community แห่งความบันเทิง
ทั้งข่าว หนัง ซีรีส์ ละคร ดนตรี และศิลปินไอดอล ที่คุณชื่นชอบ บนแอปทรูไอดี