แนะกลยุทธ์ "ปรับพอร์ตหุ้น" รับมือสงครามการค้าวันแรก ชี้กลุ่มน่าสนใจ-กลุ่มไหนต้องระวัง!

เปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างกังวลถึงผลกระทบและจุดต่ำสุดของตลาด "คุณกิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ในรายการ WEALTH LIVE แนะกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุน พร้อมชี้เป้ากลุ่มหุ้นที่น่าสนใจและกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้
มองจุดต่ำสุด SET Index บริเวณ 1,000-1,100 จุด ยังไม่น่าหลุดพัน
คุณกิจพณ ประเมินว่า จุดต่ำสุดของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในรอบนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,000-1,100 จุด และยังเชื่อมั่นว่าไม่น่าจะหลุดระดับ 1,000 จุด โดยให้เหตุผลว่า หากอิงจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี ตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ P/E ประมาณ 13-16 เท่า หากใช้ P/E ที่ 13 เท่าเป็นฐาน ณ ดัชนีปัจจุบันที่ราว 1,050-1,060 จุด สะท้อนว่าตลาดได้ประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดไว้ที่ประมาณ 80 บาทต้นๆ แล้ว ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 94 บาท
"การที่ระดับดัชนีปัจจุบันสะท้อน EPS ที่ 80 ต้นๆ หมายความว่า ตลาดได้ Price-in หรือคาดการณ์ว่าประมาณการกำไรปีนี้มีโอกาสปรับลดลงไปแล้วถึง 14-15% ซึ่งถือเป็นระดับที่สมเหตุสมผลและสะท้อนความเสี่ยงไปพอสมควรแล้ว หากไม่มีวิกฤตสภาพคล่องเข้ามาซ้ำเติม" คุณกิจพณ กล่าว
ผลกระทบสงครามการค้า ประเมินยาก-ตัวแปรเยอะ
อย่างไรก็ตาม คุณกิจพณยอมรับว่า การประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ทำได้ยากมาก เนื่องจาก
- อัตราภาษีไม่แน่นอน: แม้ประกาศตัวเลขสูง (เช่น 37%) แต่คาดว่าเป็นเพียงช่วงแรกเพื่อกดดันให้เกิดการเจรจา และอาจปรับลดลงภายหลัง แต่จะเหลือเท่าไหร่นั้นยังไม่ชัดเจน
- ผลกระทบต่อการค้าซับซ้อน: การค้ากับสหรัฐฯ อาจลดลง แต่จะลดเท่าไหร่ และการค้ากับประเทศอื่นจะเป็นอย่างไร ยังตอบยาก เพราะอาจมีการปรับเปลี่ยนแหล่งซื้อขายสินค้า รวมถึงผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่ไทยเกี่ยวโยงกับจีนก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตา
กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบหนัก-ต้องระมัดระวัง:
คุณกิจพณ ชี้ว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงที่สุด ได้แก่:
- กลุ่มส่งออก: โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ ที่พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก
- กลุ่มที่มีรายได้จากสหรัฐฯสูง: แม้จะเป็นกลุ่มอาหาร เช่น TU, ITC ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 30-50% ก็เผชิญความไม่แน่นอนสูงจากผลกระทบของภาษี
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม: ได้รับผลกระทบหนักและประเมินยากที่สุด เพราะสงครามการค้ารอบนี้ทำให้ความน่าสนใจในการย้ายฐานการผลิตมาไทยหรือเวียดนามลดลง เนื่องจากต่างก็โดนภาษีในอัตราสูง (ไทย 37%, เวียดนาม 46%) ทำให้นักลงทุนอาจชะลอการตัดสินใจลงทุนหรือแม้กระทั่งการโอนที่ดินที่ตกลงซื้อไปแล้ว จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องอัตราภาษีและแนวทางการเจรจา
กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบรอง-มีความเสี่ยง:
- กลุ่มอาหาร (เนื้อสัตว์): แม้ผลประกอบการดีจากราคาเนื้อสัตว์และต้นทุนที่ลดลง แต่มีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barrier) ที่สหรัฐฯ อาจนำมาใช้กดดัน เช่น การเปิดตลาดนำเข้าหมู/เนื้อจากสหรัฐฯ
- กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (Oil & Gas): อาจต้องซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งต้องปรับสูตรการกลั่น และมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบที่อาจปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (Property): แม้ไม่โดนผลกระทบภาษีโดยตรง แต่มีความเสี่ยงจากภาระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดจำนวนมากในปีนี้ ทั้งบริษัทขนาดกลางและใหญ่ (เช่น Origin, Ananda, Supalai, Land and House) ซึ่งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอาจกระทบยอดโอนและความสามารถในการรีไฟแนนซ์ ทำให้เกิด Overhang กดดันราคาหุ้น
กลุ่มหุ้นกระทบน้อย-อิงเศรษฐกิจในประเทศ:
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่มากนัก คือกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (Construction Services), ค้าปลีก (Retail), สาธารณูปโภค (Utility), เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT), และสื่อ (Media)
จับตา "กลุ่มธนาคาร" แม้กระทบน้อย แต่โดนแรงกดดัน 2 เด้ง:
คุณกิจพณ อธิบายว่า แม้กลุ่มธนาคารจะอิงเศรษฐกิจในประเทศ แต่ราคาหุ้นปรับลงแรงในช่วงที่ผ่านมาเพราะ:
- การปรับลดคาดการณ์ GDP: การลดลงของ GDP กระทบการเติบโตของสินเชื่อโดยตรง (สินเชื่อโต 1.5-2 เท่าของ GDP)
- คาดการณ์การลดดอกเบี้ย: ตลาดคาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้งในไตรมาส 2 (เม.ย. และ มิ.ย.) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะกดดันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคาร ประกอบกับนักลงทุนขายทำกำไรหลังหุ้นกลุ่มนี้ปรับขึ้นมามาก ทำให้ราคาปรับลงแรงในระยะสั้น จึงแนะนำให้รอดูสถานการณ์หลังการประชุม กนง. ในวันที่ 30 เมษายน ก่อนพิจารณาลงทุน