"เงินบาท"แข็งรอบ 4 ปี ซ้ำเติม"ส่งออก"ไทย

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากราวร้อยละ 8 และแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปีนำค่าเงินภูมิภาค นอกจากนี้หากพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินคู่ค้าและคู่แข่ง (NEER) พบว่าปรับแข็งค่าสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 2540
สาเหตุมจากหลายปัจจัย คือ (1) ดอลลาร์อ่อนค่าเร็ว หลังประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งสมัยที่สอง (2) ราคาทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำ New high ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ที่ทองคำเริ่มมีบทบาทแทนดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำสูงกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคมาก และ (3) ปัจจัยระยะสั้น เงินทุนไหลกลับเข้าตลาดบอนด์ไทย ขณะที่การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน( FX Hedging) เงินลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศของไทยมีสัดส่วนสูงขึ้นด้วย
SCB EIC ระบุว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากสวนทางปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำ สถานการณ์นี้ยิ่งซ้ำเติมการส่งออกไทยซึ่งเผชิญแรงกดดันจากภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ อยู่แล้ว แม้ไทยสามารถเจรจาอัตราภาษีสหรัฐฯ ได้ที่ร้อยละ19 ใกล้เคียงคู่แข่งในภูมิภาค แต่เงินบาทที่แข็งค่านำภูมิภาคกลับทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน
หากเปรียบเทียบกับเวียดนามและมาเลเซียที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราใกล้กัน แต่ค่าเงินไม่ได้แข็งค่ามาก กลายเป็นแรงกดดันต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำและมีความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้า ยิ่งทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศบั่นทอนลง
แม้ในระยะข้างหน้าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มได้อีกไม่มาก แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง แนะนำผู้ประกอบการให้ความสำคัญป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
อย่างไรก็ดี แม้ในระยะข้างหน้าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มอีกไม่มาก เนื่องจากตลาดได้ Price-in ปัจจัยส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทยไปมากแล้ว แรงกดดันที่จะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเพิ่มเติมมีน้อยลง นอกจากนี้ปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้นต่อเริ่มมีน้อยลง จึงทำให้อุปสงค์ทองคำอาจไม่เร่งตัวมากเท่าช่วงที่ผ่านมา แรงกดดันเงินบาทแข็งจึงอาจมีไม่มาก จึงมองกรอบเงินบาทปลายปีนี้ที่ราว 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
