[รีวิวซีรีส์] 1899: สร้างปมน่าติดตาม แต่เฉลยซีซันแรกยังธรรมดาสำหรับคอไซไฟ
เรื่องย่อ: ขณะออกเดินทางไปในมหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่และอันตรายสู่ประเทศอเมริกาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ และทิ้งตัวตนหรือลบลืมอดีตที่โหดร้ายของแต่ละคน ผู้โดยสารเรือเคอร์เบอรอสก็ได้เจอปริศนาลึกลับครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเมื่อเรือโพรมีธีอุสที่สูญหายไปกลางทะเลพร้อมผู้โดยสารนับพันคนเมื่อหลายเดือนก่อน อยู่ ๆ ก็ส่งสัญญาณขอความบางอย่างมา
จั่วหัวว่าเป็นผลงานจากผู้กำกับ แบเรน โบ โอดาร์ (Baran bo Odar) และผู้เขียนบท ยานต์เฌ ฟรีเช (Jantje Friese) ที่ร่วมงานกันมาโชกโชนจากทั้งหนังแฮกเกอร์อย่าง ‘Who Am I’ (2014) และที่กระฉ่อนโลกอย่างซีรีส์ ‘Dark’ (2017-2020) ที่แม้จะเป็นซีรีส์พูดเยอรมันทั้งเรื่องแต่ก็สร้างปรากฏการณ์และแฟนคลับเดนตายที่ชอบคิดแก้ปริศนาแบบหัวระเบิดมาแล้วทั่วโลก
มันจึงสร้างความกระสันต์ให้ผู้ติดตามรอคอยว่า ‘1899’ ที่เป็นซีรีส์ใหม่ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นแกนหลักครั้งแรกแถมพกอีกหลากหลายภาษาในเรื่องกับเวลาเตรียมการสร้างตกผลึกยาวไอเดียตั้งแต่ปี 2018 รวมด้วยทุนสร้างสูงเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมนีถึง 60 ล้านยูโร (ประมาณ 2,233 ล้านบาท) จะเป็นโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอยทวีความฉงนปนความน่าสนใจได้ยิ่งยวดขนาดไหน
และแม้ผู้สร้างจะไม่ได้บอกว่าเรื่องราวนั้นจะจบในกี่ซีซัน แต่อย่างน้อยก็พูดได้เต็มปากว่านี่จะเป็นซีรีส์ยาวหลายซีซันแน่ ๆ จากการสัมภาษณ์ของฟรีเชมือเขียนบทของเรื่อง และอาจต้องพิจารณา 8 ตอนแรกนี้ในฐานะของการเปิดปมว่าน่าติดตามได้มากน้อยขนาดไหน
‘1899’ สร้างความน่าจดจำด้วยองค์ประกอบงานสร้างที่ยิ่งใหญ่สวยงามสมการรอคอย ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องประกอบฉาก ออกแบบศิลป์ รวมถึงงานซีจีไอที่ไม่มีข้อติง ทำให้รู้สึกถึงยุค 1899 ได้อย่างดี เรื่องราวเปิดด้วยเหล่าผู้คนมากหน้าหลายภาษาหลากสัญชาติที่ร่วมโดยสารไปกับเรือเดินสมุทรเคอร์เบอรอส
ซึ่งเราจะได้ติดตามผ่านสายตาของ มอรา แฟลงคลิน (รับบทโดย เอมิลี บีชาม (Emily Beecham)) นักเดินทางสาวที่ได้รับจดหมายประหลาดของพี่ชายเกี่ยวกับการทดลองทางจิตของพ่อพวกเขาที่กระทำบนเรือโดยสาร และเธอยังมีความทรงจำประหลาดที่พ่อของเธอทำการทดลองเธอเหมือนเป็นคนไข้โรคจิตด้วย มอราจะได้รู้จักกับผู้โดยสารชั้นสูงที่แต่ละคนก็ดูมีความแปลกในตัวเองทั้ง รามิโรกับอังเฆล สองพี่น้องที่ดูหน้าตาไม่มีอะไรร่วมสายเลือดเดียวกันเลย เกอิชากับสาวใช้ที่ดูแปลกที่ผิดทาง ลูเซียงกับคลีมองซ์ คู่ข้าวใหม่ปลามันที่ดูไร้ความรักต่อกัน เป็นต้น
นอกจากนั้นที่ใต้ท้องเรือชั้นโดยสารชั้นสาม ก็ยังมีชาวบ้านธรรมดาที่เก็บเงินทั้งหมดในชีวิตมาซื้อตั๋วไปแสวงหาโอกาสใหม่ที่อเมริกา ซึ่งก็เต็มไปด้วยความรู้สึกของการถูกแบ่งชั้นเลือกปฏิบัติจากลูกเรือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะครอบครัวของ โทฟและเครสเตอร์ สองพี่น้องที่พ่อแม่เคร่งศาสนาที่แม้โทฟที่ปวดครรภ์แต่ก็ไม่มีหมอคนไหนสนใจจะมาดูให้ และเมื่อมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นก็ยิ่งจุดระเบิดอารมณ์ของพวกคนชั้นสามให้ลุกฮือกลัวถูกทิ้งให้ตายหนักขึ้น
และปรากฏการณ์ที่ว่าก็คือการติดต่อลึกลับของเรือโพรมีธีอุสที่มีข่าวว่าสูญหายไปนานกว่า 4 เดือนแล้ว และเมื่อกัปตันเรืออย่าง ไอค์ (รับบทโดย อันเดรียส เพียตช์แมนน์ (Andreas Pietschmann) จาก ‘Dark’) ตัดสินใจช่วยเหลือเรือร้างนั้น รวมถึงการปรากฏตัวของเด็กชายลึกลับที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวบนเรือ ก็ยิ่งสร้าวความตื่นตระหนกและต่อต้านจากผู้ไม่เห็นด้วยกับกัปตันมากขึ้น
ซีรีส์เล่าเรื่องของความขัดแย้งระหว่างคน ทั้งชนชั้นเดียวกันและต่างชนชั้น รวมถึงการไม่เข้าใจกันของแต่ลำแหน่งหน้าที่บนเรือได้อย่างน่าติดตาม และยังชวนคิดถึงปัญหาในโลกความจริง ดังที่มือเขียนบทอย่างฟรีเชได้เกริ่นไว้ว่าซีรีส์นี้เป็นการนำเรื่องราวของปัญหาผู้ลี้ภัยและผู้อพยพในยุโรป รวมถึงการเมืองในเวทีนานาชาติมาเป็นจุดตั้งต้น เราจึงเห็นการต่อรองการเอาตัวรอดของคนหลากหลายวัฒนธรรมและภาษา เหมือนเรือเคอร์เบอรอสเป็นการเปรียบเปรยของรัฐนาวาที่เป็นรูปธรรม ทั้งยังอาจไม่ใช่แค่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เป็นภาพรวมของการเมืองโลก
ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็ไม่ได้ทอดทิ้งปมปริศนาที่เป็นจุดขายของงานตัวเอง บรรยากาศของเรือร้างที่ลอยแล่นคู่ไปกับเรือของตัวเอกที่เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างที่พักก็จะเห็นเงาทะมึนที่ไร้สิ่งมีชีวิต เป็นฉากหลังของเรื่องที่ถอดนิยายสยองขวัญคลาสสิกมาได้อย่างมีเสน่ห์ ผสมกับรูปสามเหลี่ยมที่ชวนนึกไปถึงอาถรรพ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอยู่เป็นระยะ ในขณะที่เหล่าตัวละครพยายามหาความจริง สถานการณ์ความแหลกร้าวระหว่างผู้คนก็ผลักให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงช่วยกดดันให้มวลเรื่องราวไม่ได้มีแค่น่าสงสัยแต่กลายเป็นเข้มข้น ชวนลุ้นระทึกไปด้วย
ต้องยอมรับว่าซีรีส์สร้างปมในแต่ละตอนได้น่าสนใจ และสื่อผ่านชื่อตอนแต่ละตอนได้อย่างตรงเป้าว่าตอนนี้จะเอาอะไรมาเป็นกิมมิกหรือสิ่งของเร้าเนื้อเรื่องสำคัญ ไล่ไปตั้งแต่ เรือ เด็กชาย หมอก การต่อสู้ เสียงเรียก พีระมิด พายุ และกุญแจ ทำให้ผู้ชมจดจ่อและมีสมาธิกับการเดินเรื่องได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็อาจจะเพื่อแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างในการดูให้ไม่ต้องถึงขนาดเอากระดาษปากกามาคอยทดแบบตอนวาดผังครอบครัวใน ‘Dark’
จึงอาจพูดได้เต็มปากว่านี่เป็นซีรีส์ที่ลงตัวกว่า ‘Dark’ ในแง่การผูกปม เข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่ก็ไม่ได้ประนีประนอมเกินไปจนขาดเสน่ห์ เชื่อว่าผู้ที่ชมจะยังมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้สมองต้องทำงานผูกเรื่องไปด้วยแบบพอสนุกเหมือนเล่นบันไดงูที่ต้องจำว่าตกช่องนี้จะต้องไปโผล่ที่ช่องนั้น ซึ่งยังไม่เข้าขั้นปวดกบาลนัก
ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่ามันจะมีแต่จุดที่น่าชื่นชมไปเสียหมด ถึงแม้จะชอบหลายมุกที่ซีรีส์ใช้เอามาก ๆ ในการตรึงเราให้สยดสยองและคอยมองหาปริศนากับคำตอบ แต่มันก็ชวนคิดถึงงานไซไฟหลาย ๆ ชิ้นที่ถูกหยิบนั้นนิดนี่หน่อยมาทั้ง ‘Westworld’ ซีซันแรก บรรยากาศกดดันของคนใน ‘The Mist’ (2007) หรือพวกมุกหนังจิตวิทยาจริง-ลวงอย่าง ‘Shutter Island’ (2010)
ตลอดจนการประยุกต์เอาปรัชญาเรื่องถ้ำของเพลโต (The Allegory of the Cave) ที่อุปมาว่านักโทษที่โตมาโดยเห็นเงาทอดผ่านเข้ามาในผนังถ้ำก็อาจเข้าใจว่าเงานั้นคือโลกภายนอกทั้งหมด เช่นกันหากไร้ความรู้และมุมมองที่กว้างเราก็อาจคิดว่าโลกที่มองเห็นอยู่คือทั้งหมดซึ่งอาจไม่เป็นโลกจริง ๆ ก็ได้ เมื่อซีรีส์นำมาใช้ก็เป็นส่วนที่แข็งแรงแต่ก็ควรแทรกคำอธิบายที่ชัดเจนกว่านี้อีกสักนิด แม้ฝั่งตะวันตกจะเรียนรู้เรื่องนี้กันเป็นปกติแต่หลายประเทศก็ไม่ได้รู้จักดี เชื่อว่าบางคนน่าจะไม่เข้าใจเมื่ออยู่ ๆ ตัวละครก็เปรยขึ้นมา แถมยังเป็นหัวใจหนึ่งในการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ด้วย
และสุดท้ายคือการเลือกดนตรีประกอบที่ทำได้ดีมากในการสร้างบรรยากาศของ ‘Dark’ กับเรื่องนี้รู้สึกจะไม่ค่อยดีนัก ยิ่งเพลงจบของแต่ละตอนนี่ขัดความรู้สึกที่พยายามปั้นขึ้นมาทั้งเรื่องมาก ๆ เหมือนกำลังสนุกก็เปิดเพลงไล่แขกกันเสียอย่างนั้น
และส่วนที่ยังรู้สึกว่าทำให้ชอบซีรีส์นี้ได้ไม่สุดจริตก็ตรงที่การเฉลยปมใหญ่แรกในตอนจบของซีซันนี้ มันชวนให้ว้าวหรือรู้สึกแปลกใหม่ได้น้อยไปสักหน่อย ยิ่งสำหรับคอนิยายหรือหนังไซไฟที่เล่นเรื่องประมาณนี้น่าจะคุ้นกับฉากจบแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ได้แต่หวังว่ามันจะสานต่อไปซีซันถัดไปได้ตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าที่เราเคยดูจากเรื่องอื่น ๆ มาก่อนหน้านี้ และตอนนั้นคงพูดได้ชัดขึ้นว่านี่เป็นซีรีส์ที่น่าสนใจ สดใหม่ และน่าติดตามมากขนาดไหน
และถ้าจะมีสักอย่างในการแนะนำสำหรับใครที่ยังไม่เริ่มดูคือ ดูแบบซาวด์แทร็กอังกฤษออริจินัลกับซับไทย จะเข้าใจอารมณ์ความต่างภาษาที่สื่อสารกันไม่ได้ในเรื่องมากสุดครับ เท่าที่เปิดเทียบถ้าพากย์ไทยจะแปลแบบข้ามเรื่องความต่างภาษาไปเลยเหมือนทุกคนพูดภาษาเดียวกันแต่แรกซึ่งผิดความตั้งใจของผู้สร้างไปพอควร